วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วันที่ 10 (16/3/16) : น้ำตกพาเจริญ - รร.ท่านผู้หญิงพรสม กุณฑลจินดา

ไปให้สุดขอบประจิม ณ ริมเมย

ตื่นมาต้มน้ำชงกาแฟ จัดการมื้อเช้าเสร็จก็เก็บเต็นท์ แพ็ครถ ออกเดินทางเกือบเก้าโมงเช้า กลับเข้าสาย 1090 ได้พักขาวันหนึ่ง รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เหมือนว่าเรี่ยวแรงได้กลับคืนมาอีกครั้ง  วันนี้นัดมิตรสหายไว้ที่แม่สอด ตั้งใจว่าจะปั่นไปแม่ระมาดแล้วขึ้นดอยไปนอนแถวอุทยานแห่งชาติขุนพะวอ แต่จะไปได้ถึงไหน เดี๋ยวรู้กัน


"ซากุระเมืองไทย" หรือต้นกัลปพฤกษ์กำลังออกดอกสวยงามตลอดสองข้างทาง บ้านเจดีย์โคะ ถนนสาย 1090

ผ่านหมู่บ้านออกมาก็เจอไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด สวนกล้วย  ถนนช่วงนี้สภาพดี ผิวเพิ่งลาดยางใหม่ราบเรียบ ปั่นลื่นไหล บางช่วงได้ลมส่งไล่หลังมาด้วย ก็ยิ่งปั่นเพลิน  สักพักก็มาถึงบ้านเจดีย์โคะ สองข้างทางมีต้นกัลปพฤกษ์กำลังออกดอกสีขาวอมชมพูสวยงาม จากนั้นก็ถึง “ม่อนหินเหล็กไฟ” ช่วงที่ชันยาวประมาณ 3 กม. นับเป็นเนินวัดใจอันเป็นเสมือนปราการด่านแรกก่อนจะไปอุ้มผาง  จำได้ว่าต้องอัดอยู่ร่วมชั่วโมงกว่าจะขึ้นถึงยอด ชันขนาดไหน ก็ขนาดรถบรรทุกยังต้องยอมเสียเวลาอ้อมไปขึ้นอีกทาง ขนาดจักรยานทัวริงกระเป๋าพะรุงพะรังยังไหลลงไปเกือบ 70 กม./ชม. ทั้งๆ ที่ยั้งเบรกเอาไว้ตลอดทาง

ผ่านม่อนลงมาก็ไหลลงทางราบ ถนนขยายเป็นสี่เลน ข้างทางเป็นไร่มัน สวนป่า และนาข้าวแห้งๆ สลับกับหมู่บ้านย่านชุมชน  ราวสิบเอ็ดโมงก็ถึงเมืองแม่สอด โทรหามิตรสหายทั่นนิวไปเจอกันที่ร้านอาหาร

มิตรสหายทั่นนิว

ทั่นนิวเป็นศิษย์ร่วมสำนักเขานางเอ หลังจากสลัดผ้าเหลืองผมออกมาทำสวน เขากลับเข้าไปทำงานออฟฟิศอยู่ในบังกอก ปั่นจักยานไปทำงานเป็นประจำ มีโอกาสร่วมทริปกันมาสองสามหน ปีนี้หาจังหวะลางานได้อาทิตย์หนึ่งเลยอยากมาร่วมแจมไปเชียงใหม่ด้วยกัน

จัดการมื้อเที่ยงเสร็จเราก็ชวนกันปั่นไปชมสะพานมิตรภาพไทย-พม่าที่ริมน้ำเมย  ลัดเลาะผ่านย่านตลาด มีทั้งของสด ของแห้ง เครื่องครัวของใช้ ชาวบ้านมาจับจ่ายกันอย่างคึกคัก  ผ่านด่าน ตม.เข้าไปจนถึงริมน้ำด้านหลัง จอดรถเดินชมบรรยากาศริมชายแดน  พม่ากำลังเปิดประเทศ แม่สอดจึงกลายเป็นเมืองชายแดนที่คึกคักขึ้นพร้อมๆ กระแสการเปิดประตูอาเซียน

สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ข้ามแม่น้ำเมย

บนสะพาน รถบรรทุกขนตู้คอนเทนเนอร์ต่อแถวกันยาวเหยียด ข้างใต้คือแม่น้ำเมย เส้นพรมแดนที่กว้างแค่ไม่กี่สิบเมตร บางช่วงลึกแค่คนเดินข้ามได้ ข้างตอม่อสะพาน มีเด็กๆ สองสามคนเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ถัดไปใครบางคนพับขากางเกงเดินข้ามแม่น้ำ  เดินข้ามเหมือนกับผู้คนสมัยก่อนจะมีแผนที่ ก่อนจะมีประเทศ ก่อนจะมีสะพานและขดลวดหนาม

ก่อนนั้นเราเคยเดินทางกันอย่างเสรี แม้วันนี้เส้นพรมแดนจะถูกขีดขึ้น แต่จากเลือดเนื้อเชื้อไข เราต่างก็ยังคงเป็นพี่น้องกัน

แรงงานชาวพม่ายิ้มทักทานักปั่น ขณะกำลังเก็บมันฝรั่ง ข้างทางหลวงชนบท ตก.3002

ออกจากตลาดริมเมยเราปั่นเข้าสายย่อยลัดเลาะเลียบแม่น้ำ ผ่านโกดังสินค้า ไร่ข้าวโพด นาข้าว และไร่มันฝรั่ง  ไม่นานก็ตัดเข้าสาย 105 มุ่งหน้าไปทาง อ.แม่ระมาด พอเห็นป้าย 7-11 และ Lotus Express เรารีบหยุดรถเข้าไปหาเสบียงจำพวกไข่ อาหารแห้งและน้ำกันเท่าที่จะแบกไหว เพราะจากนี้ไปจะมีแต่ดอยและป่า ไม่อาจหวังพึ่งเซเว่นฯ สาขาหน้าได้อีก

จุดตรวจบ้านพะละ รอยด่างพร้อยของทริปแรกในชีวิต เมื่อสิบกว่าปีก่อน

จากแม่ระมาดเราเลี้ยวขวาเข้าสาย 1175 เริ่มไต่ขึ้นดอยทีละนิดๆ จากไร่มันโล่งๆ สองข้างทางเริ่มกลายเป็นป่าแห้งๆ  ราวห้าโมงครึ่งก็มาถึงจุดตรวจบ้านพะละ ทำให้ย้อนความหลังสมัยที่เพิ่งเรียนจบมหา’ลัย ออกทริปทางไกลครั้งแรก จากเชียงใหม่เลาะเลียบชายแดนแม่ฮ่องสอน ผ่านแม่สะเรียง ท่าสองยาง เข้าแม่ระมาด ตั้งใจว่าจะตัดไปออกบ้านตาก แวะเยี่ยมมิตรสหายเสียหน่อย  แต่ดันมาหมดแรงเอาบนดอยนี่ จนต้องโทรให้เพื่อนมารับ  แล้วค่อยปั่นต่อจากบ้านตากกลับบ้าน  ทริปนั้นจึงมีรอยด่างพร้อย ขาดช่วงตรงนี้  นึกถึงทีไรก็ยังรู้สึกค้างคาใจไม่หาย วันนี้เลยถือโอกาสมาล้างตาให้กับคราวนั้น

โค้งหักศอก ทางชันขึ้นดอยทีมู

ออกจากจุดตรวจทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ข้างหน้าคือ “ดอยทีมู” ทางชันและยาวพอให้อัดเกียร์ 1x1 กันพักใหญ่ๆ บางช่วงรถบดถนนกำลังบดอัดยางมะตอยที่เพิ่งราดใหม่ๆ ควันยังลอยคลุ้ง กลิ่นฉุนแสบจมูก ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาทีละเนินๆ นั่งพักกินน้ำรอมิตรสหาย เขาปั่นไปทำงานในเมือง ไม่ค่อยได้เจอภูเขา แถมจานหน้าใหญ่ เฟืองหลังเล็ก อัตราทดน้อย มาเจอดอยชันๆ ยาวๆ หมดแรงต้องลงเข็นขึ้นเป็นบางช่วง  รอเพื่อนมาถึง ได้พักพอหายเหนื่อยก็อัดกันต่อ สักพักก็มืดต้องเปิดไฟหน้าหลัง

มาถึงปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติขุนพะวอทุ่มกว่าๆ เห็นทางเข้ามืดมิดก็เริ่มกังวลไม่รู้ว่าเข้าไปไกลแค่ไหน และข้างในจะมีที่พักหรือไม่ เลยตัดสินใจปั่นต่อ ไปหาที่พักเอาที่หมู่บ้านข้างหน้า

สองข้างทางเป็นป่าทึบ นานๆ จะเจอแสงไฟหน้ารถสักคันให้อุ่นใจ  ระหว่างทางเจอป้าย “ระวังช้างป่าออกหากิน” ทำเอาใจหวิวๆ ไม่น้อย เราค่อยๆ ปั่นตามๆ กันมา ในที่สุดก็ถึงบ้านหนองหลวงด้วยความโล่งใจ รีบแวะที่ร้านค้าข้างทางถามหาที่พัก แม่ค้าเลยแนะนำให้พักที่โรงเรียนข้างหน้า นับว่าโชคดีของเราที่ครูใหญ่อยู่ที่นั่นพอดี เราเลยขออนุญาตเข้าไปพักในโรงเรียนท่านผู้หญิงพรสม กุณฑลจินดา

คืนนี้เราได้ที่พักในโรงอาหาร รีบอาบน้ำ ซักเสื้อผ้า แล้วมาล้อมวงกินข้าวเย็นกัน ปั่นคนเดียวมาหลายวัน พอมีเพื่อนร่วมทางก็สนุกไปอีกแบบ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Dst 110 km / Av 14 kmph / Mx 69 kmph / Tm 6 h

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น