วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

Trip วงกลม เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน วันที่ 2 (16/2/15) : ที่ทำการอุทยานฯ – ยอดดอยอินทนนท์ – แม่แจ่ม

กม.ที่ 42 ก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์

เมื่อคืนได้แผ่นรองนอนตราป่าไม้มาช่วยชีวิต นอนหลับสบายมากๆ แม้อากาศจะหนาวสุดๆ ต่างจากคืนก่อนที่ชานเมืองเชียงใหม่ ไม่หนาวเท่า แต่เรากางเต็นท์นอนบนพื้นปูนดิบๆ ไม่มีแผ่นรองนอน แทบนอนไม่หลับ  เราตื่นเช้ามาติดเตาแก๊สอุ่นลาบ แกงอ่อม และข้าวนึ่งที่เหลือจากมื้อเย็นเมื่อวาน

อิ่มแล้วเก็บเต็นท์ เก็บของเสร็จปั่นขึ้นไปเที่ยวสถานีวิจัยโครงการหลวงดอยอินทนน์ที่อยู่ใกล้ๆ

ที่นี่เราเคยมาเที่ยวชมพืชไม้เมืองหนาวหลายครั้ง คราวนี้เลยไม่เดินเที่ยวด้านใน แค่ตั้งใจมาหากาแฟล้างคอ และซื้อกาแฟตุนไว้ระหว่างทาง นั่งจิบกาแฟสักพักก็ปั่นกลับไปคืนแผ่นรองนอนที่ที่ทำการอุทยานฯ กว่าจะออกเดินทางก็สิบโมงกว่า

ป้ายสีเหลืองแบบนี้เจอตลอดทางขึ้นดอยอินทนนท์
ออกมาได้สักหน่อยก็เจอป้ายเตือนทางชันยาว 3 กม. ผมปั่นตามเพื่อนมาเรื่อยๆ พอเขาเริ่มหมดแรงก็อัดแซงขึ้นมาพักรอข้างบน จากนี้ก็มีทางราบขึ้นลงเล็กน้อย แล้วมีเนินชันยาวๆ อีกชุด ก่อนจะมาถึงด่านตรวจ จุดที่ 2 ตอนเที่ยง รื้อบัวหิมะที่ได้มาจากตลาดม้งริมทาง มาปอกกินรองท้อง

เพื่อนผมเคยปั่นอยู่แต่ในกรุงเทพฯ แม้จะซ้อมขาขึ้นสะพานมาบ้าง แต่พอมาเจอดอยชันๆ ยาวๆ ก็เริ่มปวดขา พอลงเข็นหลายๆ ครั้งก็เริ่มถอดใจ  ผมซ้อมหนักมาบ้าง ร่างกายยังไหว แต่ใจไปรออยู่ยอดดอยแล้ว ส่วนเพื่อนผมเริ่มจะลังเล...

จุดตรวจที่ 2 การเดินทางมาถึงทางแยก จะเลี้ยซายลงแม่แจ่มหรือจะตรงไปขึ้นยอดดอย


เรานั่งพักที่จุดตรวจที่ 2 ซ้ายมือคือทางลงไปแม่แจ่ม ขวาขึ้นยอดดอยอีก 9 กิโลฯ  เพื่อนผมเสนอว่าลงไปแม่แจ่มเลยไหมไม่ต้องขึ้นยอดดอย หรือถ้าผมจะขึ้น เขาขอพักรอที่นี่ แต่ผมไม่ยอม ยังไงตั้งใจมาขึ้นดอยอินท์ฯ แล้วก็ต้องขึ้นไปให้ถึง

จะปล่อยให้ยอดดอยมันค้างคา ทิ่มแทงหัวใจไปตลอดชีวิต หรือจะยอมเข็นมันไปให้ถึง

มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน เอาไงเอากัน

สุดท้ายไม่รู้เพราะแรงบิลด์ของผมหรือ เพราะเกรงใจ เพื่อนจึงยอมปั่นขึ้นยอดดอยด้วยกัน

ออกปั่นมาได้สักพักก็เจอเนินชันๆ ยาวๆ อีกหลายชุดให้ต้องลงจานเล็ก กับเฟืองหลัง 4-3-2 ตั้งใจจะเก็บเฟืองใหญ่สุด 34 ฟันไว้ใช้เป็นก๊อกสุดท้าย  ยามนั้น การเฟืองสุดท้ายไว้ใบหนึ่งมันคือการเหลือความภาคภูมิใจเล็กๆ เอาไว้ข้างใน เรายังใช้ไม่หมดนะ เรายังเหลือท่าไม้ตายสุดท้ายเอาไว้สู้กับบอสใหญ่ จะเก็บเอาไว้สู้กับเนินที่ชันที่สุดเท่านั้น

หน้าพระธาตุนภพลภูมิสิริ


อัดขึ้นมาถึงยอดเนินเจอทางราบก็แวะพักรอเพื่อน ถือโอกาสพักขาไปด้วย จนถึงช่วงที่ชันที่สุดคือบริเวณจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ทางโค้ง ชัน ยาวมากๆ จนต้องใช้เฟืองสุดท้าย อัดยันขึ้นมาเรื่อยๆ ความเร็วไต่อยู่ที่ 4-5 กม./ชม.  ความสูงเพิ่มขึ้น อากาศยิ่งเบาบาง แดดก็ร้อน เหงื่อออกจนเสื้อเปียกถึงกางเกง  ระหว่างทางเจอรถกระบะลดกระจกทัก ชวนคุย แต่ขณะนั้นผมหูอื้อจนจับใจความอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่พยักหน้าเบาๆ แล้วพุ่งสมาธิอยู่ที่การกดบันไดเท่านั้น  พอผ่านเนินสุดโหดนี้มาได้ก็ถึงทางเข้าพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ราวบ่ายสามโมงครึ่ง  จอดรถนั่งพักขา จิบน้ำรอเพื่อนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง โทรไปเชคดูก็ไม่มีสัญญาณ เลยรีบขึ้นไปที่พระธาตุ ไปถึงร้านอาหารปิดแล้วเหลือแต่มาม่ากับขนม เลยซื้อตุนไว้ชุดใหญ่ แล้วไลน์ไปบอกเพื่อน นั่งพักรอมากินพร้อมกัน

นักปั่นกับนักวิ่งขึ้นดอยอินท์


สี่โมงกว่าเราออกจากพระธาตุฯ อัดขึ้นดอยกันต่อ ทางก็ชันขึ้น บางช่วงมีทางราบให้พอได้พักขาบ้าง แดดร้อนตอนบ่ายลดอุณหภูมิเป็นแดดอุ่นสีเหลืองทอง ส่องทาบป่าข้างทางร่มครึ้ม อากาศก็เริ่มเย็น ยิ่งตอนที่ลมหนาวพัดมาปะทะ แต่นักปั่นอย่างเราเครื่องร้อนอยู่แล้วแทบจะไม่รู้สึก  ผมปั่นนำขึ้นมารออยู่บนยอดเนิน สักพักเพื่อนก็ปั่นตามมา พอหายเหนื่อยก็ขึ้นอานตะกายดอยต่อ  พอผ่านหอดูดาวก็เจอเนินชันๆ อีกลูก ผมอัดขึ้นไปนั่งรอข้างบน สักพักเพื่อนเข็นตามขึ้นมาพร้อมกับนักวิ่งใจเด็ด  เขาบอกว่าเป็นทหารอากาศอยู่บนฐานที่ยอดดอย ตอนเย็นเลิกงานก็ติดรถเพื่อนลงไปเริ่มสตาร์ทที่จุดตรวจที่ 2 วิ่งกลับขึ้นยอดดอยทุกวัน  เราปั่นจักรยานว่าโหดแล้ว เจอนักวิ่งเข้าไปนี่ ยอมเลย

เพื่อนผมกับม้าเหล็กคู่ใจและซีซีฟบนยอดดอยอินทนนท์...เย้ เราทำสำเร็จแล้ว


โบกมือล่ำลาออกปั่นต่อ สักพักก็ผ่านทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา เห็นสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศอยู่ข้างหน้าแล้ว  ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงยอดดอยอินทนนท์จนสำเร็จ  ดูเวลาเกือบหกโมงเย็น  ปั่นขึ้นไปจอดรถที่หน้าป้ายจุดสูงสุดของประเทศไทยด้วยความรู้สึกสะใจอย่างมาก สะใจที่ตนเองได้ทรมานสังขารขึ้นมาจนถึง สะใจที่ได้ล้างตาสำเร็จจากคราวก่อนที่เข็นกระจุยกระจาย  คราวนี้ปั่นอย่างเดียวไม่ได้ลงเข็นเลย สะใจที่ได้เห็นรถทัวร์คันนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ มันสมควรอย่างยิ่งกับนามนี้ “Sisyphe” ชื่อที่วิ่งวนอยู่ในหัวตลอดเวลาที่อัดขึ้นดอย

เดินเที่ยวสักพักก็เตรียมตัวปั่นลง คราวนี้เราใส่เสื้อคลุมกันลมมิดชิด เช็ครถและเบรกอีกครั้ง เปิดไฟกระพริบหน้าหลัง ก่อนไหลลงมาจากยอดดอย  ทางส่วนใหญ่จะเป็นขาลง มีให้ควงขาปั่นบ้างเล็กน้อย ผมปั่นนำ พยายามรักษาความเร็วในระดับที่ยังคุมรถอยู่ เพื่อนปั่นไล่ตามมาติดๆ  ช่วงที่ชันมากๆ ก็ค่อยๆ เลียเบรกแล้วปล่อยพักบ้างเป็นระยะๆ ผมใช้ดิสก์เคเบิลไม่มีปัญหา แต่ของเพื่อนใช้ดิสก์ไฮดรอลิกกลัวว่ากำเบรกนานๆ จะทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกร้อน จนน้ำมันเบรกร้อนตามไปด้วย เกิดอาการ “เบรกเฟด” คือกำเบรกไม่อยู่จะอันตรายมากๆ

ความเร็วขาขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 6 กม./ชม. แต่ขาลงอยู่ที่ 60 กม./ ชม. ขาขึ้นจากที่ทำการอุทยานฯ ใช้เวลาไปครึ่งวัน แต่ขาลงจากยอดดอยถึงจุดตรวจที่ 2 ใช้เวลาแค่สิบห้านาที ถ้าลงไปถึงที่ทำการอุทยานก็ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมง  ชีวิตขาขึ้นกับขาลงช่างต่างกันลิบลับ

เราเลี้ยวขวาลงไปทางแม่แจ่ม ฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็นชื้น สองข้างทางเป็นป่าดิบเขา ถนนลาดยางสภาพดีแต่แคบและชันกว่าทางเดิม ผมปั่นนำลงมาเพื่อนก็ตามมาติดๆ บางช่วงมีเนินให้อัดขึ้นบ้าง นานๆ ทีจะมีรถสวน ราวๆ สองทุ่มก็มาถึงตัวเมืองแม่แจ่ม เจอร้านอาหารก็แวะจัดการมื้อเย็น พร้อมเปิดเบียร์ฉลองความสำเร็จในการพิชิต (ใจตัวเองให้ไปให้ถึง) ยอดดอยอินทนนท์  อิ่มแล้วเพื่อนเปิดกูเกิลแมพหาที่พัก ก็เห็นลำน้ำแม่แจ่มสีฟ้าๆ อยู่ใกล้ๆ เราเลยตัดสินใจปั่นเลียบแม่น้ำไปหาที่พักเอาดาบหน้า คืนนี้เราจะ Stealth Samping กัน

ในที่สุดก็ได้กระต๊อบเฝ้านาอยู่ริมน้ำแม่แจ่ม เราจอดรถใต้กอไผ่ กางเต็นท์ แล้วลงไปอาบน้ำ ก่อนนอนก็เปิดเหล้าดอยฉลองกันอีกรอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น