วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วันที่ 3 (9/3/16) : บ้านอุ้มเปี้ยม – บ้านป่าคาใหม่

ยามเช้าริมถนนสาย 1090 ฉากหลังคือศูนย์ผู้อพยพบ้านอุ้มเปี้ยม

ตอนกลางดึกอากาศหนาวมาก พอหัวรุ่งน้ำค้างลงจนเต็นท์เปียกชุ่ม ตื่นเช้ารีบต้มน้ำชงกาแฟแกล้มขนมง่ายๆ ออกเดินทางราว 8.30 น. ซ้ายมือเป็นไร่กะหล่ำปลีที่กำลังเปิดสปริงเกอร์รดน้ำเป็นฝอยฟุ้ง ด้านหลังเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน มีหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งกรองแสงอาทิตย์ยามเช้าสีอุ่นๆ สวยงามมาก


ไร่กระหล่ำปลีที่บ้านอุ้มเปี้ยมยามเช้า

บ้านอุ้มเปี้ยมเป็นหมู่บ้านกลางทางระหว่างอุ้มผางและพบพระ ล้อมรอบด้วยทิวเขาที่ยังมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แม้จะย่างเข้าฤดูร้อนแต่อากาศยังเย็นสบาย อาชีพหลักนอกจากทำไร่ข้าวโพดและกะหล่ำปลีแล้ว ก็คือไร่สตรอเบอรี ซึ่งชาวบ้านกำลังนิยมปลูกกันมากขึ้น แม้เข้าหน้าร้อนแต่ที่นี่ยังหนาวเย็น สตรอเบอรีทางเชียงใหม่เริ่มหมด แต่ที่นี่ยังมีขาย

ศูนย์ผู้อพยพผู้ลี้ภัยบ้านอุ้มเปี้ยม

ปั่นขึ้นเนินมาสักหน่อยก็จะถึง“ศูนย์ผู้อพยพผู้ลี้ภัยบ้านอุ้มเปี้ยม” เรือนไม้ไผ่ฝาขัดแตะมุงหญ้าคาหลังเล็ก ตั้งกระจัดกระจายอยู่ตามทิวเขาลูกย่อมๆ ริมถนนมีแนวรั้วลวดหนามขึงยาว ด้านหน้าทางเข้ามีป้อมทหารเฝ้าอยู่  แวะพักถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็อัดขึ้นเนินยาวๆ และดอยชันๆ อีกพักใหญ่ก็ลงมาถึงบ้านแม่กลองน้อย แวะที่ตลาดผักผลไม้ชุมชน ด้านหลังคิดลำน้ำแม่กลองสายเล็กๆ มีทางเดินลงไปชมวังปลาที่ชาวบ้านอนุรักษ์ไว้

แวะพักใต้ร่มเฟินยักษ์

ออกจากตลาดชุมชนก็เริ่มไต่ขึ้นดอยคดโค้งมาเรื่อยๆ บางช่วงจะได้ยินเสียงลมเบรกของรถบรรทุกข้าวโพดดังฟึดฟัดๆ มาแต่ไกล  หลายคันลดกระจกโบกมือทักทาย ก่อนจะค่อยๆ แซง-สวนผ่านรถถีบคันเล็กอย่างระมัดระวัง  ถนนช่วงนี้สภาพดี มีบางช่วงเพิ่งลาดยางใหม่ๆ แต่ก็ยังเหลือช่วงที่ผุพังกลายเป็นหลุมบ่ออยู่บ้าง   ความชันของถนนค่อยเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับป่าแห้งๆ เริ่มทึบขึ้นเรื่อยๆ   สักพักก็เข้าเขตป่าดึกดำบรรพ์ จะเริ่มสังเกตเห็นเฟินมหัสดำต้นใหญ่สูงท่วมหัวขึ้นแซมต้นไม้อยู่ตลอดสองข้างทาง อากาศเย็นชื้น แสงสลัวส่องผ่านใบเฟินยักษ์ ให้ความรู้สึกลึกลับ อารมณ์คล้ายๆ ป่าฝนทางปักษ์ใต้บ้านเรา

เที่ยงกว่าแล้ว ยังงัดขึ้นลงดอยลูกแล้วลูกเล่า ไม่มีวี่แววจะเจอหมู่บ้าน ท้องเริ่มหิว เรี่ยวแรงเริ่มหมด สัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหาย เลยตัดสินใจปั่นหาที่พักหุงข้าวกลางวัน พอได้ที่นั่งใต้ร่มไม้ เปิดมือถือเจอสัญลักษณ์ 3G ก็รีบเปิดกูเกิลแม็พ เชคระยะทางไปหมู่บ้านข้างหน้า อีก 6-7 กม. เอาวะ ไปหาข้าวกินข้างหน้า

บทกวีสุดไพเราะข้างถนน

ปั่นขึ้นเนินมาอีกหน่อยก็เจอป้าย “ทางลงยาว 6 กิโลเมตร” รู้สึกดีใจราวกับว่านั่นคือบทกวีที่สุดไพเราะ ใจที่หดเหี่ยวก็ฟูฟ่องขึ้นมาทันที อัดขึ้นพ้นโค้งและเนินอีกลูกก็เริ่มเจอทางลงยาวๆ  ลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะราวกับสรวงสวรรค์ แต่พลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า แล้วขาขึ้นจะเอายังไง... จึงต้องรีบปลอบใจตัวเอง ขอเสพความสุขขณะนี้ก่อน เรื่องในอนาคตค่อยมาว่ากัน

แมวที่ร้านก๋วยเตี๋ยว บ้านแม่กองคี

มาถึงบ้านแม่กลองคีตอนบ่ายสาม บ้านเรือนตั้งเป็นหย่อมอยู่ริมลำน้ำแควใหญ่เห็นมาแต่ไกลตั้งแต่บนดอย ข้ามสะพานเข้าเขตชุมชนเจอร้านก๋วยเตี๋ยวก็รีบแวะเข้าไปทันที ประสบการณ์ขาดน้ำเมื่อวานย้ำเตือนว่า จงอย่าหวังน้ำบ่อหน้า ครู่เดียวแม่ค้าชาวกะเหรี่ยงก็รีบยกก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่มาวางตรงหน้า ออกปั่นมาอีกหน่อยก็เจอร้านขายของชำและขายอาหารอีกร้าน พอเห็นนักปั่นแปลกหน้าก็กวักมือเรียกชวนแวะกินน้ำ มีหรือที่จะปฏิเสธ จอดรถลงไปนั่งกินน้ำหวานแกล้มขนม พลางนั่งคุยกับชาวบ้าน ร้านนี้เป็นจุดที่สิงห์รถบรรทุกแวะพักกินข้าว เขาบอกว่าเห็นผมปั่นอยู่แถวดอยรวกเมื่อสองวันก่อน ไม่นึกว่าจะมาถึงนี่

ช่วงมกราคมจะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพด รถสิบล้อวิ่งจากอุ้มผางเข้าพบพระกันแทบจะต่อคิวขึ้นดอยกันเลยทีเดียว ช่วงนี้เหลือบ้างแต่ไม่มากนัก จุดพักรถกรมทางหลวงบ้านอุ้มเปี้ยมที่พักแรมเมื่อคืน คือจุดพักรถขนข้าวโพด กลางคืนจะมีรถมาจอดนอนเต็มลานด้านหน้า  ได้ยินแล้วรู้สึกโชคดีที่ออกทริปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้หลบรถสิบล้อกันสนุก

ทางเรียบตรงยาวก่อนจะตะกายดอยชันๆ บ้านแม่กองคี

กระโดดขึ้นเบาะราวสี่โมงเย็น พอพ้นเขตหมู่บ้าน ถนนก็ตัดตรงยาวผ่าซากไร่ข้าวโพดสุดสายตาจรดทิวเขา บางจุดมีไร่มันขึ้นสลับบ้างให้พักสายตา สักพักก็เริ่มไต่ขึ้นดอยชันๆ ยาวๆ อีกลูก แล้วก็ดอยเล็กๆ อีกชุดก่อนจะลงทางราบผ่านอีกหมู่บ้านเล็กๆ ถนนช่วงนี้กำลังบดอัด รถใหญ่วิ่งผ่านฝุ่นคลุ้ง ต้องรีบดึงผ้าบัฟฟ์มาปิดจมูก

กางเต็นท์ในศาลาหอชมปลา ริมน้ำแควใหญ่ บ้านป่าคาใหม่

มาถึงบ้านป่าคาใหม่เกือบค่ำ ระหว่างที่ปั่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำแควใหญ่ มองเห็นศาลาอยู่ริมตลิ่งน่าจะพอพักแรมได้ เลยปั่นกลับไปที่ร้านค้าซื้อเสบียงมื้อเย็นและขอนุญาติพักที่ริมน้ำ ชาวบ้านก็อนุญาตอย่างใจดี ปั่นกลับมาถึงหอชมปลาที่ริมน้ำ ก็เจอวัยรุ่นเจ้าถิ่นกำลังนั่งกินดื่มเคล้าเสียงกีตาร์กันล้งเล้ง  คิดจะปั่นออกไปหาที่พักข้างหน้าแต่น่องเริ่มโอดครวญ จึงต้องทำใจดีสู้เสือเข้าไปบอกว่าขอค้างที่นี่ เขาก็เชื้อเชิญอย่างใจดี ลงไปอาบน้ำซักผ้าแล้วกลับมากางเต็นท์ หุงข้าวพลางนั่งแลกเปลี่ยนเรื่องราวกับเจ้าถิ่นหนุ่มน้อยวัยยี่สิบกลางๆ สามสี่คน เขาแนะนำตัวว่าเป็นชาวไร่ข้าวโพด ช่วงนี้เพิ่งเสร็จงานไร่ก็ชวนกันมาพักผ่อน จากนั้นก็ต้องรีบซ่อมยุ้งเก็บข้าวโพด แล้วเตรียมไถที่รอปลูกรอบหน้าช่วงต้นฝนที่จะถึง

ยิ่งช่วงนี้เกิดกระแสดราม่าเรื่องปลูกป่าบนดอยกันอยู่ ไร่ข้าวโพดคือหนึ่งในจำเลยที่ถูกกล่าวหามาตลอด จะน้ำแล้ง น้ำท่วม ภูเขาหัวโล้น เกิดควันไฟป่าก็โทษไร่ข้าวโพดก่อน  เราไม่ปฏิเสธหรอกว่าบางคนก็บุกถางป่าจริงๆ แต่บางส่วนก็เป็นที่มรดกพ่อแม่เขา  เราอยู่บนดอยไม่ให้ปลูกข้าวโพดแล้วจะให้ปลูกอะไร จะปลูกมันก็ไม่คุ้ม ปลูกยางก็ถูกโค่น ปลูกกระหล่ำก็ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาเยอะ ตอนนี้ข้าวโพดคุ้มที่สุด  ทำไงได้พวกเราก็มีลูกเมียต้องดูแล นี่เรียนฟรี ม.ปลายก็จะยกเลิก สามสิบบาทก็จะยุบ เราก็มีรถต้องผ่อน มีอะไรที่อยากได้อยากเป็นเหมือนกะคนในเมืองนั่นละ... เสียงจากชาวไร่ข้าวโพดสะท้อนมาอย่างนั้น

พอเห็นว่าผมกำลังจะหุงข้าว เขาก็กลับบ้านไปขนกับข้าวที่บ้านมาให้ชิม ต้มยำเนื้อย่างรสเข้มข้นซดคล่องคอ แกล้มยอดผักกุ่มดองเกลือ จิ้มน้ำพริกตาแดง ไม่นานเบียร์ก็หมดกระป๋อง เขาเลยแบ่งเหล้าดอยให้ชิม ดีกรีแรง รสชาติดุเดือดวูบขึ้นหน้าพาเอาหูแทบไหม้ ไม่แน่ใจนักว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือมิตรภาพที่พาให้คืนอันหนาวเย็นนี้อบอุ้นขึ้นเป็นพิเศษ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Dst 70.95 km / Av 12.6 kph / Mx 61.9 kph / Tm 5.36 h

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น