วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Trip แรงน่องท่องระนอง (วงกลม) วันที่ 4 (19/3/15) : อช.แหลมสน - รร.มัชฌิมวิทยา กระบุรี

ยามเช้า ที่หาดประพาส ธงแดงด้านซ้ายคือสัญลักห้ามลงเล่นน้ำทะเล ด้านขวาจะมีธงเขียวเป็นสัญลักษณ์ให้เล่นน้ำได้


ตื่นเช้า รูปซิปเปิดเต็นท์ แล้วออกไปเดินเล่นที่ชายหาด กลับมาเก็บของเสร็จก็ล่ำลา Gerald  เขาตั้งใจจะพักที่ “Paradise” แห่งนี้อีกสองสามวัน จากนั้นจะไปเขาสก แล้วจะปั่นลงใต้ไปเข้ามาเลเซีย  เราแลกอีเมล์แล้วจับมือ แลกเปลี่ยนคำอวยพรกัน ผมบอก "Have a good trip in Thailand and around the world." เขาตอบกลับมาสั้น กระชับ "Have a good life." ครับ


ตึกแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีส


รถสองแถวกระบะไม้ เอกลัษณ์อย่างหนึ่งของเมืองระนอง

ปั่นออกจาก อช. แหลมสน กลับมาทางเดิมถึงถนนเพชรเกษม  เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไประนอง สักพักก็เริ่มเข้าเขตเมือง ถนนเริ่มขยายเป็นสี่เลน รถราเริ่มวิ่งวุ่นวาย แดดร้อนเปรี้ยง ลมแห้งๆ พัดพากลิ่นปลาป่นแสบจมูก  ผมเลี้ยวเข้าไปในตัวเมืองระนอง  ผ่านย่านเมืองเก่า แวะชมตึกแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ยังหลงเหลืออยู่หลายหลัง รถสองแถวกระบะไม้สุดคลาสสิกก็ยังวิ่งให้บริการอยู่หลายสาย

แม่น้ำกระบุรี เส้นกั้นพรมแดนไทย-พม่า ฝั่งตรงข้ามคือเกาะสอง


"ระนอง"เพี้ยนมาจาก "แร่นอง" มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเป็นหัวเมืองขนาดเล็กขึ้นกับเมืองชุมพร  สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ได้มีชาวจีนฮกเกี้ยนมาขอสัมปทานเหมืองแร่ดีบุก ภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซูเจียง) เป็นผู้ว่าการเมืองระนอง  ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงลาดลงทะเลอันดามัน จึงได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมทำให้มีฝนตกชุกที่สุดในประเทศไทย จนได้รับการขนานนามว่าเมือง "ฝนแปด แดดสี่"  มีทรัพยากรป่าไม้และแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะแร่ดีบุก  ในยุคเหมืองแร่ได้มีพ่อค้าและแรงงานชาวจีนอพยพเข้ามาทำเหมืองจนเศรษฐกิจเฟืองฟูมาก  มีการติดต่อซื้อขายกับเมืองปีนังจนได้รับอิทธิพลด้านศิลปะวัฒนธรรม โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีส เช่นเดียวกับเมืองภูเก็ต ตรัง กระบี่ พังงา  ประชากรชาวระนองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และประมง ที่เหลือก็จะเป็นอุตสหกรรมต่อเนื่องจากประมง และการท่องเที่ยว

ยามเย็น บนสะพานข้ามคลองละอุ่น


เดิมทีผมตั้งใจจะพักที่เมืองระนอง แต่อากาศร้อนเกินจะวนหาที่พัก คิดจะไปนอนบ่อน้ำร้อนก็ร้อนอบอ้าวเหลือจะเล่นน้ำไหว เลยปั่นต่อไปทางปากน้ำ เจอท่าเทียบเรือและโรงงานปลาป่นอยู่ตลอดทาง ยิ่งช่วงขึ้นควน รถบรรทุกปลาป่นทำน้ำจากปลาหก กลิ่นรันจวนใจยิ่งนัก ปั่นขึ้นลงควนจนไปออกสายเพชรเกษมอีกครั้ง แล้วปั่นต่อไปทาง อ.กระบุรี  ราวห้าโมงเย็นก็แวะพักชมวิวบนสะพานข้ามคลองละอุ่น แสงทองยามเย็นสาดทาบหมู่บ้านชาวประมง ดูงาม อบอุ่นดี

ถ่ายรูปเล่น พักขาพอหายเหนื่อยก็ปั่นต่อ พอเริ่มเข้าเขตกระบุรีถนนกำลังขยายเป็น 4 เลน เครื่องจักรกำลังทำงาน เศษดินหินเต็มถนน รถบรรทุกวิ่งเยอะ ฝุ่นคลุ้ง ปั่นยากมาก ต้องคอยหลบไหล่ทางไปเรื่อยๆ  ไปถึงย่านตลาดกระบุรีเกือบทุ่ม แวะพักขากินน้ำแล้วปั่นออกไปหาที่นอนนอกเมือง ไปเจอโรงเรียนมัฌชิมวิทยาอยู่ข้างทาง เลยเข้าไปขออนุญาตกางเต็นท์ ครูหนุ่มพักที่บ้านพักครูข้างๆ จึงช่วยติดต่อภารโรงให้ แล้วพาผมเข้าไปหาที่พักและแนะนำห้องน้ำในโรงเรียน

แคมป์กราวด์ ในโรงเรียนมัชฌิมวิทยา ยามเช้าหมอกลงหนาทึบ


กางเต็นท์เสร็จก็หุงข้าว ไปอาบน้ำซักผ้า กลับมาจัดการมื้อเย็นง่ายๆ เข้านอนเกือบสี่ทุ่ม พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้าเก็บของเคลียร์พื้นที่ก่อนที่นักเรียนจะมาโรงเรียน

วันนี้ได้ระยะทาง 129 กม. ความเร็วเฉลี่ย 18.8 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 45.9 กม./ชม. เวลารวม 6.52 ชม.

ปล. ขอขอบคุณ ครูเวร นักการ ครูใหญ่ และเด็กนักเรียน รร.มัชฌิมวิทยา สำหรับที่พักคืนนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น