วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Trip วงกลม เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน วันที่ 7 (21/2/15) : ปางมะผ้า-ห้วยน้ำดัง

แวะชมไร่กระเทียม ที่หลักกม. 104 ถนนสาย 1095 ก่อนถึงปาย


เมื่อคืนนอนหลับสบาย ตื่นเช้ามาล้างหน้าล้างตา ติดแก๊สต้มน้ำชงกาแฟ เสร็จแล้วเก็บของออกจากที่ว่าการอำเภอปางมะผ้าราวแปดโมง ปั่นไปสักพักก็ผ่านย่านตลาด ผู้คนออกมาจับจ่ายกันคึกคัก  แวะกินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋แถวตลาดเช้า ตั้งใจจะนั่งชมวิถีชีวิตยามเช้าสักหน่อย แม่ค้าใจดีแถมข้าวปุ๊ทอด (ข้าวเหนียวใหม่สุกตำรวมกับงา ปั้นเป็นก้อน รีดแบนขนาดฝ่ามือแล้วนำไปทอด) ที่พี่น้องชาวมูเซอเอามาแจกจ่ายช่วงเทศกาลปีใหม่ของชนเผ่า ระหว่างทางจึงเห็นชาวบ้านแต่งตัวชุดประจำเผ่าสวยงาม และมีการประดับตุงสีขาวข้างถนนทางเข้าหมู่บ้านหลายแห่ง


ทิวทัศน์ข้างถนนสาย 1095 


ปางมะผ้ามีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ประชากรประกอบด้วยหลายชนเผ่าอาศัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป จึงเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมชนเผ่า  ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และอีกบางส่วนทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยว  หลักฐานทางประวัติศาสตร์พบการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในถ้ำผีแมนมากว่าสองพันปี  ปางมะผ้าจึงมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์

รถทัวร์ Fullloaded  เจอกับ กระบะ Fullloaded ที่จุดชมวิวดอยกิ่วลม


ออกจากเมืองปางมะผ้ามาทางสาย 1095 ถนนสองเลนสภาพดี ข้างทางบางช่วงมีไม้ใหญ่ร่มรื่น อากาศเย็นสบาย แดดยามสายส่องให้ความอบอุ่น ปั่นเพลินมาได้สักพักก็เจอป้าย "ทางลาดชันยาว 1 กม." ค่อยๆ ลดเกียร์ตะกายดอยขึ้นมาเรื่อยๆ สักพักก็เจออีกป้าย อีกป้าย และอีกป้าย นับว่าทางหลวงแถวนี้เมตตากับนักปั่นโดยแท้  กว่าจะขึ้นมาถึงยอดดอยกิ่วลมก็เกือบเที่ยง แวะเข้าห้องน้ำ พักขานั่งกินสตรอเบอรีสดๆ ที่ชาวบ้านเก็บจากสวนมาขาย  สักพักก็มีรถกระบะขนใบตองตึงแวะเข้ามาจอดสามสี่คัน เขาบอกว่ารับซื้อจากแม่ฮ่องสอนเพื่อเอาไปคลุมไร่สตรอเบอรีที่สะเมิง เชียงใหม่

แวะซื้อนำที่ร้านค้าปากทางเข้าบ้านปางแปก


ออกจากดอยกิ่วลม ชีวิตก็เข้าสู่ขาลง ไหลลงเขามาเรื่อยๆ  ตอนเที่ยงแวะซื้อน้ำที่ร้านค้าปากทางเข้าบ้านปางแปก ผมจอดรถจักรยานข้างมอเตอร์ไซค์ที่ติดสติกเกอร์ร้านเช่ารถในเชียงใหม่  เห็นฝรั่งคู่หนึ่งกำลังสอนลูกสาวตัวเล็กๆ หัดปอกไข่ปิ้งกินกับขนมปังบ้านๆ  นี่คงเป็นอาหารมื้อเที่ยงเท่าที่พอจะหาได้จากร้านค้าข้างทางในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกล

ไข่ปิ้งใบนั้นอาจไม่ใช่แค่อาหารมื้อหนึ่ง แต่นั่นคือโลกกว้างที่พวกเขากำลังสอนให้ลูกสาว

สนามบินปาย


ราวบ่ายสองก็เข้าสู่เมืองปาย จอดรถแวะถ่ายรูปที่สนามบิน แล้วปั่นผ่าเข้าไปในเมือง เมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เกสต์เฮาส์ และนักท่องเที่ยว ฝรั่งและจีน

ทุ่งนาหลังฤดูเก็บเกี่ยว ข้างถนนสาย 1095 ขาออกจากปาย


เมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยเรียนมหา’ลัยปีหนึ่ง ตอนปิดเทอมแรกผมกับรุ่นพี่อีกสองคนชวนกันแว้นซ์มอเตอร์ไซค์มานอนที่ปาย เช่าเกสต์เฮาส์ไม้ไผ่มุงใบตองตึงคืนละร้อย  กลางคืนกินเบียร์แกล้มความเงียบสงบ  สมัยนั้น ปายยังเป็นแค่เมืองเล็กกลางหุบเขา นักท่องเที่ยวไม่วุ่นวาย  ชาวบ้านใช้ชีวิตเรียบง่าย อากาศดี น้ำปายใสสะอาดไหลผ่ากลาง จนถูกขนานนามว่า “ยูโธปาย”  แต่เมื่อวันหนึ่งปายเริ่มขายได้ รีสอร์ท ร้านอาหาร ธนาคาร ร้านสะดวกซื้อ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็เริ่มตามมา  พร้อมๆ กับความวุ่นวาย สิ่งแวดล้อมที่ทรุดโทรม และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นเมืองมากขึ้น...ก็เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของบ้านเรานั่นแหละ มีการเติบโต เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะถูกใจหรือไม่ เราก็คงต้องเรียนรู้ และอยู่กับมันให้ได้

ระหว่างปั่นผ่านสถานีขนส่งปาย ฝรั่งคนหนึ่งก็โบกมือทักทาย บอกว่าเห็นผมบนดอยที่แม่ฮ่องสอนเมื่อวันก่อน "ไอ้หมอนั่นมันต้องบ้าแน่ๆ ที่ปั่นจักรยานขึ้นดอยชันๆ ตอนเที่ยงๆ แบบนั้น" เขาบอก แล้วเล่าว่าตนเองกับแฟนสาวชาวบราซิลตั้งใจมาเที่ยวทั่วไทย คุยกันสักพักเราก็จับมือล่ำลากัน ออกเดินทางกันต่อ

สำหรับผม มิตรภาพระหว่างทางคือเครื่องยืนยันตัวตนอย่างหนึ่ง มันเตือนให้รู้ว่า ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้  รู้สึกตื้นตันใจ จนเหมือนกับว่าเรี่ยวแรงได้กลับคืนมาอีกครั้ง

ออกจากปายได้สักหน่อย รีสอร์ทก็เริ่มบางตาลง แวะอีกครั้งที่สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย จากสะพานเหล็กสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ถูกทิ้งร้างนับสิบปี วันนี้ได้ถูกชุบชีวิตอีกครั้งจากกระแสการท่องเทียว จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นร้านกาแฟ แผงขายของที่ระลึก และซุ้มไว้ถ่ายเซลฟีเต็มไปหมด

ทางชันๆ ขาออกจากปาย


ออกปั่นต่อสักพักจากทางราบก็เริ่มไต่ขึ้นเนิน จนกระทั่งเจอป้ายเตือน “ทางชันยาว 6 กิโลเมตร” ทำเอาแทบตกรถ “เห้ย นี่มันฆาตกรชัดๆ” ผมนึกในใจ แล้วขาก็เริ่มสั่น เข่าอ่อน หมดแรง จนต้องจอดรถลงมานั่งทำใจสักพัก ก่อนจะทำใจดีสู้เสือกระโดดขึ้นอาน กัดฟัน ตะกายดอยต่อ  ถนนช่วงออกจากปายสาย 1095 สองเลนสภาพดีไม่มีไหล่ทาง  ชันจริง ยาวจริง โค้งหักศอกพับไปมาจริงๆ รถก็เยอะมากโดยเฉพาะรถของนักท่องเที่ยวจีนวิ่งสวนกันเป็นขบวน  รถผมแขวนกระเป๋าพะรุงพะรัง ต้องคอยหลบหลีกชิดเส้นขอบจนเกือบตกถนน

ตอนบ่ายแก่ๆ แรงก็เริ่มหมด เข่าซ้ายก็ปวดหนึบๆ ก้นเริ่มระบม คอแห้งจนน้ำลายเหนียว น้ำสองลิตรกว่าตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งลิตร ต้องค่อยๆ จิบทีละนิด  สองข้างทางมีแต่ป่า ยังไม่มีวี่แววหมู่บ้านข้างหน้าให้สบายใจ  ผมลากขาปั่นมาเรื่อยๆ แวะพักมาเรื่อยๆ จนถึงจุดตรวจดอยแม่ยะเกือบห้าโมงเย็น รู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด รีบพุ่งไปเข้าหาตู้เย็นเป็นอย่างแรก คว้าน้ำและเสบียงมื้อเย็นตุนไว้ก่อน คืนนี้ตั้งใจจะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง

ออกจากดอยแม่ยะลงไปอีกสองกิโลฯ ก็ถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังหกโมงกว่า  ติดต่อเจ้าหน้าที่ จ่ายค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ก็ปั่นเข้ามาเรื่อยๆ แล้วทางก็ชันขึ้นๆ จนต้องงัดเกียร์ 1 สักพักก็ลงดอย ขึ้นดอยอีกสองสามลูก ทั้งๆ ที่ผมหมดแรงตั้งแต่ดอยแม่ยะแล้ว แต่ต้องมาเจอทางโหดๆ อีก 6 กิโลฯ  เล่นเอาเกือบถอดใจกางเต็นท์นอนกลางทาง  แต่เพราะตั้งใจจะไปนอนในอุทยานฯ ก็เลยกัดฟันปั่นๆ พักๆ ลากขา ลากเข่ามาจนถึงลานกางเต็นท์จนได้ ดูเวลาเกือบสองทุ่ม

ยามเช้าที่แคมป์กราวด์ อช.ห้วยน้ำดัง (ภาพถ่ายเช้าวันรุ่งขึ้น)


เดินหาที่เหมาะๆ ได้ ก็จัดการกางเต็นท์แล้วรีบไปอาบน้ำที่เย็นเจี้ยบจนผิวแทบชา เสร็จแล้วกลับมากินข้าวเหนียวหมูทอด ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แกล้มเบียร์ที่แอบพกมาด้วย  บนดอยลมแรง อากาศก็หนาวสุดๆ แถมวันนี้ยังมาเจอทางโหดๆ เอาช่วงสุดท้ายเล่นเอาหมดแรง  พรุ่งนี้เช้าขอนอนตื่นสาย รอชมพระอาทิตย์ขึ้นจากในเต็นท์ก็แล้วกันวะ

วันนี้ได้ระยะทาง 82.84 กม. ความเร็วเฉลี่ย 12.8 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 60.7 กม./ชม. เวลาปั่น 6.27 ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น