วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยกที่ 1 วันที่ 3 (11/11/13) ดอยหลวง พะเยา-ดอยขุนแจ เวียงป่าเป้า

จุดชมวิวบนดอยหลวง พะเยา




เมื่อคืนหนาวมาก ชุดนอนเสื้อกางเกงขายาวกับถุงนอน 15 องศา แทบเอาไม่อยู่ ตื่นขึ้นมาเก็บของแล้วโอ้เอ้ชมวิวอยู่สักพัก ออกเดินทางราว 9.30 น. ปั่นขึ้นดอยมาอีกหน่อยก็จะเป็นทางลง ไหลลงมาเรื่อยๆ ระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่น้ำตกสองแห่ง  สักพักก็ลงทางราบ ข้างทางเป็นสวนผลไม้ ลิ้นจี่ มะม่วง ฝรั่ง แวะซื้อฝรั่งติดกระเป่าไว้เป็นเสบียง

มาถึงวังเหนือเกือบเที่ยง  วันนี้รู้สึกปวดก้น ระบมไปหมด อัดตะบี้ตะบันมาสองวัน พลิกลงน้ำหนักแก้มก้นข้างซ้ายทีขวาที หน้า-หลัง จนรู้สึกจุกๆ ท้อง เพราะทิ้งน้ำหนักที่ฝีเย็บนานเกินไป  แวะพักก้นอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็ปั่นออกต่อ เจอโลตัสเอ็กเพรสก็แวะซื้อเสบียง พวกอาหารกระป๋อง ขนมปัง น้ำดื่ม ตุนเอาไว้กันเหนียว  ข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง

ออกปั่นต่อ มองหาร้านอาหารเหมาะๆ จะกินข้าวเที่ยง ก็ยังไม่ถูกใจ จนพ้นตัวอำเภอออกมานิดเดียวก็เริ่มขึ้นดอย ถึงรู้ว่า พลาดอีกแล้ว งี้แหละมัวแต่หวังน้ำบ่อหน้า สมน้ำหน้าตัวเอง  อัดขึ้นดอยมาได้หน่อยก็ต้องแวะพัก นั่งกินฝรั่งรองท้อง  พอหายเหนื่อย ขาหายสั่นก็ปั่นต่อ เข้าเขตเวียงป่าเป้า เชียงราย มาได้ข้าวเที่ยงกินแถวบ้านเวียงกาหลง ย่านแหล่งเครื่องปั่นดินเผาขึ้นชื่อ  อิ่มแล้วก็แวะร้านเซรามิกซื้อถ้วยกาแฟมาชุดนึง

เวียงกาหลงเป็นเมืองโบราณ พบร่องรอยคูเมืองเก่า เครื่องปั้นดินเผาและซาก “เตาเผาเวียงกาหลง” อายุกว่า 200 ปี  สินค้าขึ้นชื้อแถวนี้จึงเป็นพวกเครื่องถ้วยชามเซรามิก มีร้านขายตลอดแนวถนน  เท่าที่สังเกตดู สวนใหญ่จะเป็นงานแนวอนุรักษ์นิยม เลียนแบบของเก่า ทั้งรูปทรง ลวดลายเขียนสีแบบโบราณ เคลือบสีเขียวๆ เหมือนกันแทบทุกร้าน

ปั่นไปก็คิดไป ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมันน่าจะช่วย “ต่อยอด” มากกว่ามัวงมขุดรากมาขายกันอยู่แบบนี้... แล้วก็นึกถึง “เถ้าฮงไถ่” ที่ราชบุรี ที่คนรุ่นลูกอาศัยความรู้เรื่องการปั้นโอ่งมังกรจากรุ่นพ่อ มาพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นงานศิลปะร่วมสมัย จนขยายโปรเจค สร้างแกลเลอรีและจัดกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม เปลี่ยนเมืองราชบุรีเงียบๆให้กลายเป็นเป็นเมืองเท่ๆ น่าเที่ยวหา

มาถึงสามแยกตัดกับสาย 118 เลี้ยวขวา ปั่นผ่านเมืองเวียงป่าเป้า แวะซื้อเสบียง น้ำดื่ม และน้ำมันพืชตุนไว้อีกหน่อย ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสาย 1150 ไปทางพร้าว  จากทางราบ มาสักหน่อยก็เริ่มขึ้นดอย ถนนสองเลนสภาพไม่ค่อยดี นานๆ ทีจะมีรถสวน  สองข้างทางเป็นซากไร่ข้าวโพดสุดสายตา มีป่าแห้งๆ ให้พักสายตาบ้าง ไม่มีบ้านคนเลย  อัดขึ้นดอยมาเรื่อยๆ จนหมดแรง หยุดพักกินน้ำกินขนม แล้วขึ้นอานตะกายดอยต่อ 

ถนนสาย 1150 ลัดเลาะผ่านดอย






ไร่ข้าวโพดสุดสายตา ริมถนนสาย 1150

มาเจอร้านค้ากลางดอย แวะซื้อแอ็บหมู ไข่ปิ้ง ถามหาน้ำขวดใหญ่แต่ไม่มี เลยต้องจัดน้ำขวดเล็กอีก 4 ขวด  แม่ค้าบอกว่า อีก 10 กม. จะถึงขุนแจ๋ มีหน่วยป่าไม้ มีที่กางเต็นท์  เอาวะ สู้ๆ ตอนนี้หกโมงกว่า อีกไม่เกินสองชั่วโมงก็คงถึง  ออกมาได้หน่อยก็เริ่มมืด หยุดรถเปิดไฟ  ดอยชันขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นสุดๆ ลงสุดๆ  ขาขึ้นก้มหน้าดูไมล์วิ่งอยู่ที่ 5 กม./ชม. ใส่จนสุดเกียร์ 1x4-3-2-1 จนหมดแรง สุดท้าย...ยอมลงเข็น  พอเจอช่วงพักโค้งก็ขึ้นอานปั่นต่อ ไปจนสุดโค้ง ก็เจอดอยอีกลูกซ่อนอยู่ข้างหลัง  กัดฟันอัดขึ้นไปอีกจนสุดขอบ ก็เจออีกลูกซ่อนอยู่อีก  พอขึ้นไปสุดก็ลงสักหน่อยแล้วไต่ขึ้นอีก เป็นอย่างนี้ตลอดทาง  ไม่เหมือนเมื่อสองวันที่ก่อน ที่เจอดอยทีละลูก พอขึ้นถึงยอดก็ลงยาว แต่คราวนี้เจอเป็นชุด

เดิมตั้งใจจะไปนอนที่ขุนแจ แต่ตอนนี้กำลังจะหมดแรงอยู่กลางดอย เลยตัดสินใจ หาที่พักข้างทาง  พยายามมองหาที่เหมาะๆ พอจะผูกเปลได้ แต่ป่าข้างทางก็รกเกิน มืดก็มืด ไม่อยากเสี่ยงเข้าไป  สุดท้ายมาเจอซอกผาข้างไร่กาแฟ ที่ชาวบ้านขุดแต่ง มุงหลังคาเป็นที่พักเฝ้าไร่  มีเสาพอให้ผูกเปลได้ เตรียมที่นอนเสร็จก็เปิดน้ำขวดแรกหุงข้าว แล้วเปิดขวดที่สองลูบตัว ล้างคราบเหงื่อไหล พอไม่ให้เหนียวตัว  ขวดที่สามเก็บไว้สำรองพรุ่งนี้  คืนนี้ไต่ดอยโหดสุด อาบน้ำประหยัดที่สุด

คืนนี้อาศัยผูกเปลในซอกผา ที่พักเฝ้าไร่กาแฟของชาวบ้าน (ถ่ายเช้ารุ่งขึ้น)


ระหว่างซุกตัวอยู่ในถุงนอน ก็เกิดคำถามขึ้นข้างใน นี่กูมาลำบากอยู่บนดอยนี่ทำไมวะ... นึกถึงชีวิตธรรมดาที่บ้าน  แล้วก็นึกถึงคำพูดของเจค็อบ เมื่อมีคนถามว่า ท่านปีนเขาขึ้นมาทำไม --แม้แต่โมเสสก็ยังต้องปีนเขา แล้วโมเสสได้เรียนรู้อะไรจากมัน

“ก็เหมือนพวกเราทุกคนนั่นแหละ คือพบว่าการไต่เขาลงไปและอยู่กับสิ่งที่เราเห็นนั้นก็ต้องใช้ความพยายามมากพอๆ กับการปีนเขาเพื่อติดตามความฝันของเรา” *

วันนี้ลากขามาได้ 81.88 กม. Av 13.8 กม./ชม. Tm 5.56 ชม.

* โนอาร์ เบน ชี เขียน, ฐิติมา สุทธิวรรณ แปล. (2545). การเดินทางของเจค็อบ. กรุงเทพมหานคร : คบไฟ. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น