วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยกที่ 2 วันที่ 3 (17/11/13) ฐานฯ ซุยถัง-ม่อนปิ่น

สวนผลไม้ในหุบเขา อ่างขาง


ตื่นเช้าเก็บเต็นท์ไปคืนทหาร เขาชวนกินกาแฟ แต่ผมปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เตรียมตัวจะลงไปชมสวนผลไม้ สักพักเสียงรถยนต์เข้ามาจอด เตรียมของเปิดร้าน เสร็จแล้วก็ชวนผมขึ้นกระบะโฟร์วีลด์ขับลัดเลาะไหล่เขา ฝ่าหมอกยามเช้าลงไปอย่างชำนาญ

สวนผลไม้ในหุบเขา พืชผัก ผลไม้เมืองหนาวปลูกแบบผสมผสาน อโวคาโดต้นใหญ่บนไหล่เขา แผ่พุ่มร่มรื่น มีต้นท้อ พลับ แทรกอยู่กระจัดกระจาย ข้างแนวถนนมีต้นนางพญาเสือโคร่งกำลังออกดอกสีชมพูหวานสวย  มีบ้านพักหลังย่อมๆ ปลูกอยู่บนเนินเขา ด้านหน้ามีแปลงชาเป็นแนว  ข้างๆ เป็นแปลงผักสวนครัว ถัดไปมีแปลงดอกไม้เมืองหนาว  ด้านหลังเดินออกไปหน่อยมีคอกวัวฝูงใหญ่สามสิบกว่าตัว กั้นรั้วปล่อยหากินในป่าข้างๆ  เดินไปอีกหน่อยเป็นสวนกาแฟที่ปลูกกระจัดกระจายบนเชิงเขา  ด้านหลังมีคอกหมูหลุมพันธุ์พื้นเมืองตัวดำๆ อีกห้าหกสิบตัว  เขาบอกว่าได้ขี้หมูขี้วัวพวกนี้ใส่ต้นไม้ ปุ๋ยเคมีไม่ต้องใช้เลย เพราะดินน้ำแถวนี้ก็ยังสมบูรณ์อยู่   ได้อยู่ในสวนกลางหุบเขา ได้สูดอากาศดีๆ ได้ทำสิ่งที่รัก ชีวิตน่าอิจฉา

ลงไปชมสวนสักพักใหญ่ ก็กลับขึ้นมากินซุปตังกวยกับกาแฟที่แฟนพี่สาธรเตรียมไว้ให้  ก่อนออกเดินทางก็อุดหนุนอโวคาโด ส้มและกาแฟ ทั้งลดทั้งแถมอีกเพียบ แพ็ครถเสร็จก็เข้าไปล่ำลาเจ้าของร้านผลไม้ผู้อารีและทหารในฐาน


หน้าแผงผลไม้ของพี่สาธร ที่จุดชมวิวอ่างขาง ฐานฯ ซุยถัง







ออกเดินทางเกือบเก้าโมงเช้า มุ่งหน้าไปทางดอยอ่างขาง ถนนสองเลนแคบๆ ลัดเลาะป่าตะกายดอยชันๆ ขึ้นมาอีกหลายลูก อัดเกียร์ 1x1 จนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเกินไป ก็หยุด ลงเข็น หมดแรงเข็นก็นั่งพักปอกส้มกินเอาแรงสักลูก หายเหนื่อยก็ขึ้นเบาะตะกายดอยต่อ

วัดความชัน ถนนขึ้นดอยอ่างขาง



วัดความชันช่วงที่ปั่นขึ้นมา


มาถึงจุดตรวจทหารที่สามแยกตัดกับสาย 1249 เกือบเที่ยง ระยะทางประมาณ 8 กิโล ใช้เวลาปั่น เข็นและพักไปร่วมสามชั่วโมง  ผ่านจุดตรวจมาหน่อยก็เจอหมอกลงจัด จนกลายเป็นฝนตกปรอยๆ ทัศนวิสัยแย่มาก มองเห็นสักสิบยี่สิบเมตร ต้องหยุดรถเปิดไฟแล้วปั่นมาหลบหมอกอยู่ที่ศาลาข้างทาง พอเห็นว่าหมอกเริ่มซาก็ออกปั่นต่อ  ขึ้นดอยไปอีกหน่อยก็เริ่มเป็นขาลง แต่ถนนก็เปียกชื้นจนไม่กล้าซิ่ง ขอบล้อเปียกน้ำยามเบรกดังเอี้ยดอ้าดมาตลอดทาง

ตอนบ่ายก็มาถึงสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง แวะกินข้าวซอยไก่ที่ร้านมุสลิม แล้วต่อด้วยกาแฟแกล้มหมั่นโถวอร่อยมาก  ปกติในย่านทุรกันดานห่างไกล ถ้าไม่โบสถ์คริสต์ ก็จะมีสำนักสงฆ์ แต่ถ้าเข้าไปในย่านตลาดก็อาจเจอร้านค้าของชาวมุสลิม  ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร แต่รู้สึกชอบ “ความหลากหลาย” ทั้งทางวัฒนธรรมและทางชีวภาพ

อิ่มแล้วออกไปเดินในตลาดเล็กๆ หน้าสถานีเกษตรฯ อ่างขาง ซื้อถั่วและพวกธัญพืชบนดอยส่งไปให้แม่  ส่วนบัวหิมะอีกกิโลนึงเก็บไว้กินเอง จัดของลงกระเป๋าเสร็จก็ปั่นเข้าไปในสถานีเกษตรฯ ค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวคนละ 50 บ. จักรยานเข้าฟรี แวะที่สวนบอนไซอยู่พักใหญ่ๆ ด้วยความชอบส่วนตัว บอนไซจากไม้เมืองหนาวหายาก ยิ่งได้มอสเกาะคลุมโคนยิ่งดูเก่าแก่ กิ่งก้านอ่อนช้อยงดงาม ดูแล้วสงบใจดีแท้ นึกถึงบอนไซที่เลี้ยงไว้สองกระถางที่บ้าน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแค่ต้นไทรโทรมๆ

ภายในสวนบอนไซ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง


เมื่อต้นปีมาเที่ยวที่นี่เกือบครบขาดแต่สวนบอนไซแห่งนี้ คราวนี้เลยเน้นเฉพาะจุดนี้ ขากลับเจ้าหน้าที่แนะนำทางลัดด้านหลังไปออกบ้านนอแล  รุ่นพี่เคยบอกไว้ว่ามีทางลัดเลียบชายแดนไปเข้าเมืองฝาง แต่ทางโค้งและชันมาก ผมตั้งใจจะลองไปทางนี้ดู ปั่นออกไปถึงสวน 80 ก็เลี้ยวขวาผ่านสำนักงานไปทางศูนย์สาธิตการใช้ไม้  ถนนลาดยางเลนเดียวผ่านสวนไผ่ เมเปิลหอม อาเคเซีย จันทร์ทองเทศ บางช่วงทางชันยาวๆ ปั่นไม่ไหวก็ลงเข็น สักพักก็มาถึงทางออกตัดตัดกับสายหลัก ผมเลี้ยวซ้ายไปทางบ้านนอแล

ถนนสองเลนแคบสภาพไม่ค่อยดี ขึ้นลงดอยมาตลอดทาง สักพักก็ผ่านทางเข้าบ้านขอบด้ง ปั่นต่อมาอีกไม่นานก็ถึงบ้านนอแล ปั่นขึ้นไปที่ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล เดินชมวิวชายแดนไทย-พม่าสักพักก็กลับลงมา เลี้ยวซ้ายผ่านหมู่บ้านลงไปนั่งรอที่ด่านตรวจของทหาร รอเวลาเปิดประตู

แถวจุดชมว้วชายแดนไทย-พม่า ฐานฯ บ้านนอแล


พี่ทหารเล่าให้ฟังว่าถนนสายนี้เลียบชายแดนไทย-พม่า ระยะทางสั้นกว่าสายหลักแต่ทางค่อนข้างคดโค้งและชันมาก มีคนใช้น้อย อีกทั้งเป็นถนนเลียบชายแดนจึงต้องมีการกวดขันเข้มงวด เปิดปิดเป็นเวลา ช่วงเช้า 8-10 น. และบ่าย 16-18 น. คนที่จะขับรถผ่านต้องนำบัตรประชาชนยื่นให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนไว้ก่อน เพื่อจะได้วิทยุไปบอกด่านปลายทางเช็คให้ถูกต้อง

รอเชคอินเข้าถนนเลียบชายแดนไทย-พม่า ที่จุดตรวจฐานฯ บ้านนอแล


สักพักหมอกก็ลงจัดจนกลายเป็นละอองฝน ทัศนวิสัยต่ำมากๆ มองไปได้ไม่เกิน 20 เมตร ต้องรื้อเรนโคทมาคลุมกระเป๋าอีกชั้น พอด่านเปิดผมก็เปิดไฟแล้วก็ปั่นลงมาช้าๆ  ถนนลาดยางสองเลนสภาพไม่ค่อยดี โค้งและชันมากๆ แทบไม่มีทางขึ้นเลย ไหลลงมาเกือบตลอดทาง ผ่านสวนสนมาเจอโค้งหักศอกพับไปพับมา กำเบรกจนเมื่อยนิ้ว พอสุดโค้งก็ต้องหยุดพักรถ เช็คดูขอบล้อร้อนจี๋ มือแทบพอง  ถ้าลากเบรกยาวๆ มีโอกาสยางระเบิดได้  ล้อหน้าใช้ผ้าเบรก Kool Stop พอเจอน้ำและเศษดินทราย ก็มีเสียงดังบ้างแต่ก็ยังนับว่าเงียบเมื่อเทียบกับผ้าเบรก XT ที่ล้อหลัง ที่เจอน้ำเป็นได้หอนตลอด   เจอทางลงดอยชันๆ ยามฝนตกๆ จึงได้เห็นข้อเสียของวีเบรก ทำให้คิดถึงดิสก์เบรกขึ้นมาทันที

ถนนลื่น โค้งพับไปพับมา ทางชันมาก จนต้องเบรกกันตัวโก่ง 

พักพอให้ขอบล้อหายร้อนก็ขึ้นอานไหลลงดอยต่อ ถ่ายน้ำหนักมาทางด้านหลัง เลียเบรกมาเรื่อยๆ ได้สักโค้งสองโค้งพอขอบล้อเริ่มร้อนก็หยุดพักสักทีหนึ่ง  นั่งพักปอกส้มกินไปพลางๆ กว่าจะลงมาถึงด่านข้างล่างก็หมดส้มไปโลฯ นึง

ห้าโมงเย็นมาถึงด่านทหารข้างล่าง เช็คบัตรประชาชนอีกครั้งก็ปั่นออกมา  ถนนเส้นนี้สภาพไม่ค่อยดีเพราะคนใช้น้อย สองข้างทางเป็นป่า พอเข้าที่ราบก็กลายเป็นสวนส้ม ใกล้ค่ำก็ปั่นหาที่พักมาเรื่อย ทีแรกอยากจะหาตูบพักในสวนส้ม แต่กลิ่นยาเคมีฉุนจมูกเกินทน ต้องรีบปั่นผ่านออกมา  พอเข้าเขตหมู่บ้านก็เห็นผางประทีบและคบไฟส่องสว่างอยู่ตามรั้วบ้าน เด็กๆ จุดประทัดกันตูมตาม ถึงนึกออกว่าวันนี้เป็นวันลอยกระทง เสียงเครื่องไฟจากในวัดก็ประกาศเชิญชวนให้มาร่วมงานยี่เป็งกันอย่างน่าสนุก

มาถึงป้อมสถานีตำรวจชุมชนม่อนปิ่นทุ่มกว่าๆ เห็นศาลาอเนกประสงค์อยู่ข้างๆ ก็แวะเข้าไปขออนุญาตพัก แต่พี่ตำรวจแนะนำให้พักใกล้ๆ เพื่อความปลอดภัย จึงได้เสาโรงรถข้างๆ เป็นที่นอนคืนนี้ อาบน้ำ หุงข้าว จัดการมื้อเย็นเสร็จแล้วก็ประแป้งแต่งตัวไปเที่ยวงานยี่เป็งที่วัดใกล้ๆ มีชาวบ้านมาเที่ยวเต็มวัด บนเวทีมีการแสดงของเด็กๆ สนุกสนาน ลานโล่งๆ อีกฝั่งเป็นที่จุดพลุ จุดประทัด แห่โคมไฟ ปล่อยโคมลอย  ผมแอบเนียนกลมกลืนไปกับชาวบ้าน เที่ยวเล่นถ่ายรูปอยู่สักพักใหญ่ๆ ก็กลับ เข้านอนเกือบสามทุ่ม

วันนี้ได้ระยะทาง 37.91 กม. ความเร็วเฉลี่ย 11 กม./ชม. เวลารวม 3.25 ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น