![]() |
แวะพักขาเตรียมงัดเนิน ทางหลวงหมายเลข 1346 |
เมื่อคืนนอนที่เชียงใหม่ ตื่นเช้าเก็บของแล้วติดรถเพื่อนรุ่นพี่มาถึงพร้าวเกือบ 9 โมง งานแต่งกำลังเริ่มพอดี งานเล็กๆ เรียบง่าย ไม่เอิกเริก แขกในงานก็มีญาติผู้ใหญ่กับเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่าย สักพักก็เริ่มพิธีผูกข้อมือทำขวัญแบบทางเหนือ เสร็จแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วก็เริ่มกินข้าวเที่ยงราว 11 โมง
เจ้าบ่าว-เจ้าสาวเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกัน เพื่อนๆ ก็กลุ่มเดียวกัน แม้ผมจะเรียนคนละคณะ แต่ก็รู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนๆ ของรุ่นพี่หลายคน งานนี้จึงเหมือนงานรวมเพื่อนต่างรุ่นและต่างคณะกันกลายๆ ตอนบ่ายแขกก็เริ่มกลับจนเหลือแค่พวกเราอยู่โต๊ะเดียว นั่งคุยรำลึกความหลังกันจนบ่ายสามก็เริ่มแยกย้ายกัน รุ่นพี่ชวนผมค้างที่นั่น แต่ผมรู้สึกชีพจรลงเท้า เริ่มคันน่อง เพราะไม่ได้ปั่นมาหลายวันแล้ว
ราวสี่โมงเย็น แพ็ครถเสร็จก็ล่ำลารุ่นพี่ปั่นมาทางถนนคอนกรีตในหมู่บ้าน สองข้างทางเป็นทุ่งนาที่เริ่มไถแปร ผืนน้ำที่ถูกไขมาแช่ดินสะท้อนก้อนเมฆสวยมากจนต้องแวะถ่ายรูป อากาศเย็นสบาย ปั่นเพลินมากๆ พ้นทุ่งนาก็เข้าเขตหมู่บ้านแล้วก็เริ่มไต่ดอยน้อยๆ ลัดเลาะผ่านสวนมะม่วง ลำไย ไปตัดกับสายหลัก 1346 พร้าว-ไชยปราการ
![]() |
ทุ่งนาข้างทาง |
ปั่นผ่านด่านตรวจของทหารมาได้สักหน่อย สวนผลไม้สองข้างทางก็เริ่มกลายเป็นป่าทึบ ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมร่มครึ้ม ผิวถนนยังมีรอยฝนตกใหม่ๆ ยิ่งเสริมให้ป่าดูเขียวครึ้ม บรรยากาศเย็นชื้น ไอหมอกลอยอ้อยอิ่งจนต้องเปิดไฟ ยามได้ปั่นจักรยานผ่านป่าทึบๆ คนเดียวให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกดีแท้
ต้นไม้ใหญ่ในป่าทึบ ช่วยละลายความอหังการ์ให้เล็กลง คลี่คลายบางอย่างที่รกรุงรังอยู่ภายใน พาให้รู้สึกสงบ สันโดษอย่างยิ่ง
![]() |
ถนนสาย 1346 วิ่งผ่านป่าร่มรื่น ชื้นเย็นหลังฝนตก |
แม้อากาศเย็นชื้นแต่การงัดดอยชันๆ โค้งหักศอกพับไปมาหลายชั้นก็เล่นเอาเสื้อชุ่มเหงื่อ ขึ้นไปจนสุดก็เริ่มไหลลงผ่านหมู่บ้านชาวภูเขา เจอเด็กๆ ทักทาย “เฮลโหลๆ เวรี่กู้ดๆ” ผมก็โบกมือทักทายกลับ พ้นหมู่บ้านมาหน่อยก็ไต่ดอยชันๆ ยาวๆ จนต้องลงเกียร์ 1x1 เผลอกระทืบบันไดหนักๆ ล้อหน้ามีลอย จนต้องพยายามถ่ายน้ำหนักไปข้างหน้า ก้มอกแทบชนแฮนด์ แล้วควงขาไหลขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นจนสุดดอยก็ไหลลงมาสักพักก็เจอหมู่บ้านเล็กๆ เปิดไฟวอมแวมอยู่ข้างหน้า
ในป่าเงียบสงบ แต่พอได้เจอแสงไฟในหมู่บ้านก็รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ปั่นเข้าเขตหมู่บ้านมาหน่อยก็เหลือบไปเห็นลำธารอยู่ข้างๆ ข้ามสะพานแล้วก็พุ่งลงไปหาน้ำทันที จอดรถเดินสำรวจหาที่นอน โชคดีไปเจอตูบเฝ้าไร่หลบซุ้มไม้อยู่ด้านหลัง
เข็นรถไปจอดข้างตูบแล้วเดินสำรวจรอบๆ กลับมาเตรียมจะผูกเปล ก้มลงมองที่หลังเท้าเห็นเศษดินดำๆ ติดอยู่ เอามือปัด แต่ไม่หลุด เอ๊ะ ดินอะไรเย็นๆ เป็นเมือกลื่นๆ เปิดไฟฉายส่องดูถึงได้รู้ว่า เจอพนักงานต้อนรับของป่าซะแล้ว... ทากกำลังเป่งได้ที่ คงเกาะมาสักพักแล้ว จัดการรื้อหายาหม่องมาทาถูๆ มันก็คลายตัวหลุดออก
![]() |
ทากดูดเลือดเกาะที่หลังเท้า |
ปกติทากดูดเลือดใช่จะเจอกันง่ายๆ นอกจากในป่าดิบชื้นที่ยังมีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย ธรรมชาติของทากจะรับรู้เป้าหมายจากแรงสะเทือนที่สัตว์เดินผ่านเข้ามา แล้วค่อยดีดตัวไปเกาะดูดเลือด ระหว่างนั้นก็จะปล่อยสารกระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายตัว และสารต้านการแข็งตัวของเลือด จากตัวเล็กๆ ผอมแห้งขนาดก้านไม้ขีด พอมันดูดเลือดจนอิ่มตัวป่องขนาดปลายก้อยแล้วก็จะดีดตัวหลุดออกไปเอง ถ้าเราเจอทากมาเกาะ ตามตำราบอกให้หายาเส้นมาจุ่มน้ำบีบใส่ทาก หรือพวกสมุนไพรกลิ่นฉุนอย่างใบสาบเสือ หรือตะไคร้หอม แต่ผมไมมีของพวกนั้น ครั้นจะเอาไฟแช็คลนก็เอ็นดู นึกขึ้นได้ว่ามียาหม่องตลับเล็กอยู่ในกระเป๋า จัดการเปิดฝามาทาถูๆ ที่ตัวทาก แป๊ปเดียวมันก็ม้วนตัวหลุดออกมาเอง ท.ทาก หรือจะมาสู้ ล.ลิง (ถือลูกท้อ)
ทากดูดเลือดถือเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าอย่างหนึ่ง แต่แถวนี้ก็กลายเป็นไร่ข้าวโพดเกือบหมด มีต้นไม้ขึ้นรกๆ อยู่แถวชายไร่ริมลำธารอยู่ไม่เยอะ ไหงถึงยังมีทากอยู่ คิดว่าน่าจะเพราะยังมีวัวฝูงที่ชาวบ้านปล่อยมาหากิน เพราะรอบๆ ตูบมีรอยเท้าย่ำอยู่และมีกองขี้วัวให้เห็น และแถวนี้คงอยู่ติดเขตป่าที่ยังพอมีสัตว์ป่าเหลืออยู่ หากใช่ ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดี
ผูกเปลเสร็จก็ลงไปอาบน้ำ ซักผ้า กลับมาจัดการอุ่นแกงฮังเล ไส้อั่ว และข้าวเหนียวที่ได้จากงานแต่ง จัดการมื้อเย็นเสร็จ ก่อนขึ้นเปลนอนก็ไม่ลืมตรวจเช็คตามแข้งขาให้ชัวร์อีกครั้ง ขอบคุณยาหม่องตราลิงฯ
วันนี้ได้ระยะทาง 18.64 กม. Av 12 กม./ชม. Tm 1.31 ชม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น