วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยกที่ 2 วันที่ 2 (16/11/13) บ้านแม่ปาคี- ฐานปฎิบัติการซุยถัง ดอยอ่างขาง

ตูบเฝ้าไร่ข้าวโพด ที่บ้านแม่ปาคี




โลกภายนอกเริ่มสว่างไสว ส่งแสงทะลุมุ้งเปลมาปลุกตั้งแต่หกโมงครึ่ง ลงจากตูบเฝ้าไร่เดินไปลำธาร ล้างหน้าล้างตา แล้วตักน้ำมาต้มกาแฟ มาถึงก้มดูที่ข้อเท้ามีตัวเย็นๆ มาเกาะอีกแล้ว ทากดูดเลือด พนักงานต้อนรับของป่า เตรียมเช็คเอาท์สินะ 555

ตื่นขึ้นมาสูดยามเช้าจนชุ่มปอด ซังข้าวโพดหอมอุ่นๆ ปนกลิ่นดินชื้นๆ ลำธารเย็นๆ เสียงนกนานาชนิดร้องอยู่บนต้นไม้ด้านหลัง เสียงวัวก็ร้อง มอ มอ ดังมาจากหมู่บ้าน นี่คือบรรยากาศสำหรับแกล้มกาแฟเช้านี้

“เราเดินทางก็เพื่อจะสูดอากาศใหม่ๆ” จำที่มาไม่ได้แต่ใจความยังชัดเจน การได้สูดอากาศใหม่ๆ ทุกเช้าที่เราตื่นนับเป็นรางวัลของชีวิต

เก็บของเสร็จเข็นจักรยานออกจากตูบกลับขึ้นถนนสาย เดิม 1346  เริ่มออกเดินทางเกือบเก้าโมง ขึ้นเนินมาหน่อยก็ถึงโรงเรียนบ้านแม่ปาคี ผ่านหมู่บ้านออกมาก็เจอไร่ข้าวโพด แปลงผัก นาข้าว ไร่ข้าว สวนลิ้นจี่ และสวนยางพารา  ถนนสายเล็กแต่วิวสองข้างทางสวยมากจนอดแวะถ่ายรูปไม่ได้  ยิ่งออกเดินทางก็ยิ่งเห็นว่า ในเมืองไทยยังมีถนนงามๆ แบบนี้รอให้เราค้นหาอีกเยอะ

ถนนสาย 1346 ลัดเลาะผ่านหมู่บ้าน ทุ่งนา ต้นไม้ข้างทางร่มรื่น สวยงามน่าปั่นมากๆ 



ราวสิบเอ็ดโมงครึ่งมาถึงสามแยกตัดกับถนนสาย 107 เลี้ยวขวาไปหาข้าวเที่ยงที่ไชยปราการ เปิดแผนที่เห็นมีทางลัดตัดเข้าถนนที่จะไปดอยอ่างขาง ถามชาวบ้านไปเรื่อยจนถึงหมู่บ้านของอดีตทหารจีนคณะชาติ กองพล 93 ที่บ้านใหม่หนองบัว ปั่นผ่านซุ้มประแบบจีนเข้ามาก็เหมือนกับหลงมาอยู่ในเมืองจีนน้อยๆ บ้านเรือนประดับป้ายอักษรจีน ผู้คนผิวขาว หน้าตาตี๋หมวย สื่อสารกันด้วยภาษาจีน  เจอร้านค้าก็แวะซื้อน้ำและถามทางอีกครั้ง 

หมู่บ้านชาวจีนคณะชาติ บ้านใหม่หนองบัว



ปั่นผ่านหมู่บ้านชาวจีนออกมาสักพัก ถนนคอนกรีต ก็เริ่มยกตัวไต่ขึ้นเนินชันๆ ยาวๆ อัดจนสุดเกียร์ หมดแรงก็กระโดดลงเข็น นานๆ ทีจะมีชาวบ้านขับมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์สวน ถนนแคบ ขึ้นดอยคดโค้ง สภาพไม่ค่อยดี  ปั่นบ้างเข็นบ้างจนถึงยอดดอย เจอวิวไร่กาแฟชันๆ งามๆ เลยถือโอกาสแวะพักขากินน้ำ  เดินไปดูต้นกาแฟอราบิกาสูงแค่เข่าแต่ลูกสีส้มแดงเต็มกิ่ง 

ไร่กาแฟอราบิกา ริมถนนสายลัดจากไชยปราการมาอ่างขาง


ราวบ่ายสามมาถึงสาย 1340 แวะพักที่ข้างๆ ป้อมทหารบ้านสินชัย จากนั้นก็เริ่มขึ้นเนินชันๆ ยาวๆ อัดขึ้นไปจนหมดแรงก็ยอม ลงเข็น พอถึงยอดเนินก็กระโดดขึ้นเบาะปั่นออกมาสักพักก็เจอเด็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังเดินอยู่ข้างถนน เราโบกมือทักทายกัน พอเห็นผมเริ่มหมดแรงงัดเนินก็วิ่งกรูกันมาช่วยเข็น  สุดท้ายเลยกระโดดลงมาเดินคุยกับแก๊งค์เด็กๆ ซะเลย  พอขึ้นไปสุดเนินก็ล่ำลากัน

แก๊งค์เด็กๆ ระหว่างทาง


ถนนสายนี้แคบ ชัน สภาพไม่ค่อยดี แต่วิวข้างทางสวยมาก จนต้องแวะถ่ายรูปหลายหน ถือโอกาสพักขาไปในตัว  ราวสี่โมงเย็นถึงโรงเตี๊ยมถ้ำง้อบ อดีตค่ายทหารจีนก๊กมินตั๋ง ทัพที่ 3 ของนายพลหลี่เหวินฮ้วน หลังจากสงครามสงบก็ได้ปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และเปิดเป็นที่พักบริการนักท่องเที่ยว  แวะกินกาแฟแกล้มหมั่นโถวที่ร้านด้านหน้า แล้วออกปั่นต่อมาถึงบ้านผาแดง แวะซื้อน้ำและเสบียงตุนไว้ เห็นป้ายบอกระยะทางอีก 20 กิโลฯ ถึงดอยอ่างขาง นี่ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ถ้าไม่ถึงก็คงต้องนอนกลางทาง 

จุดชมวิวระหว่างทาง


อัดขึ้นดอยมาเรื่อยๆ เริ่มมืดก็เปิดไฟ ปั่นไนท์ไรด์มาถึงจุดชมวิวข้างฐานปฏิบัติการซุยถังเกือบหนึ่งทุ่ม ชายคนหนึ่งอยู่นั่งที่ร้านขายของ ผมเดินเข้าไปถามหาร้านอาหารและที่กางเต็นท์ คุยกันสักพักแฟนเขากลับมาก็ชวนผมกินข้าวเย็นด้วยกัน  เดิมตั้งใจจะอุดหนุนมื้อเย็นแต่เขาไม่ยอม เลยขนเสบียงอาหารกระป๋องไปแจม  มื้อนี้ได้กิน ผัดผักกาดขาว ผัดมะระไข่ ผักดองแบบจีน และน้ำพริกทูน่าของผม  ผักจากสวนที่เขาปลูกเอง หวานกรุบกรอบมากๆ อร่อยกว่าผักตลาดที่เคยกินเป็นไหนๆ 

ที่จุดชมวิว ฐานปฎิบัติการซุยถัง  แบ็คกราวด์คือเมืองฝางยามราตรี


กินข้าวเย็นอิ่มแล้ว เขาชงน้ำชาร้อนๆ มานั่งคุยกัน  พี่เขาแนะนำตัวว่าเป็นลูกของชาวจีนอพยพ พ่อเป็นอดีตทหารคณะชาติกองพล 93 บ้านใหม่หนองบัว ที่เพิ่งปั่นผ่านเมื่อตอนบ่าย  ก่อนหน้านี้เคยทำสวนส้มและลิ้นจี่อยู่ข้างล่าง แต่สู้ยาและปุ๋ยเคมีไม่ไหว เลยกลับขึ้นมาฟื้นฟูที่ดินในหุบเขา มรดกจากพ่อ ทำไร่ทำสวน ปลูกพืชผัก ผลไม้เมืองหนาวแบบผสมผสาน เขาบอก พรุ่งนี้จะพาผมลงไปเที่ยว

คุยกันพักใหญ่ๆ พี่จ่าทหารจากก็มาคุยด้วย ชวนผมเข้าไปกางเต็นท์ด้านในฐาน แต่ผมปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวน แต่พยายามหาที่ผูกเปลที่พอจะหลบลมหนาวไม่ได้เลย เพราะพื้นที่บริเวณนี้เป็นสันเขาที่ปรับเป็นที่กางเต็นท์และจุดชมวิว ไม่มีไม้ใหญ่ใกล้ๆ พอให้ผูกเปลได้  สักพักพลทหารก็เดินมาตามผมเข้าไปพักในฐาน เขาจะกางเต็นท์ให้ นอนเต็นท์ช่วยกันลมหนาว ปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอก เขาแนะนำ

คืนนี้เลยได้นอนเต็นท์ทหาร มีผ้าห่มรองนอน ซุกตัวเข้าถุงนอนแล้วแล้วย้อนคิดถึงทริปเมื่อต้นปี ที่ขับรถยนต์พาแม่กะญาติๆ มาเที่ยวที่นี่ คราวนั้นก็ได้ประสบการณ์ไปแบบหนึ่ง  แต่วันนี้มาถึงที่นี่ด้วยจักรยาน ได้เห็นทิวทัศน์ข้างทางงามๆ ที่ตกหล่นจากคราวก่อน ได้รับมิตรภาพจากคนแปลกหน้า ได้ผ่านความทุกข์ทรมานจากการเดินทาง เหนื่อยกายแต่สุขใจ

วันนี้ได้ระยะทาง 72.84 กม. Av 12.6 กม./ชม. Tm 5.45 ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น