![]() |
ไร่ข้าวโพดบนดอยที่เวียงแก่น ริมถนนสาย 1155 |
เช้านี้เก็บของออกเดินทางแปดโมงครึ่ง ได้หยุดพักขาวันหนึ่งรู้สึกว่าร่างกายสดขึ้นเยอะ กำลังวังชากลับมา ปั่นมาได้สักพักจ้าของร้านอาหารขับมอเตอร์ไซค์สวนมา ผมตะโกนบอกลา ไว้โอกาสหน้าจะแวะมาอุดหนุนลาบปลาน้ำโขงอีกนะครับ
ตอนแรกตั้งใจว่าจะเลาะตะเข็บชายแดนตะกายดอยไปเรื่อยๆ จนทะลุเชียงคาน แต่รู้สึกว่าตัวเองใช้เวลามาพอสมควรแล้ว นี่ก็ 19 วันเข้าไปแล้ว เลยขอหลีกดอยรีบทำเวลาไปปั่นเลาะเลียบลำโขงอย่างที่ตั้งใจ ให้สมกับชื่อทริปดีกว่า
![]() |
พักขาที่ตูบเฝ้าไร่ข้าวโพดข้างทาง |
ราว 9 โมงเช้ามาถึงถนนสาย 1155 ผ่านโรงพยาบาลเวียงแก่น จากทางราบถนนก็เริ่มชันขึ้น พอผ่านหมู่บ้านเห็นร้านค้าก็แวะซื้อน้ำขวดใหญ่และขนมตุนไว้ก่อน จากนั้นก็อัดขึ้นดอยมาเรื่อยๆ ถนนลาดยางสองเลนไม่มีไหล่ทาง สภาพพอใช้ได้ มีหลุมขรุขระบ้าง แต่ก็มีรถวิ่งไม่มาก ส่วนใหญ่ก็มอเตอร์ไซค์และกระบะของชาวบ้าน ข้างทางเป็นไร่ข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวแล้ว บางแห่งก็เป็นสวนยางพารา มองไปไกลๆ เห็นผืนป่าวิ่นแหว่ง บางแห่งเป็นภูเขาหัวโล้น ที่ลุ่มในหุบเขาเป็นนาข้าว
![]() |
พักข้างทาง บนดอย อ.เทิง |
ผ่านทางแยกเข้าดอยผาตั้ง เลียบไหล่ดอยมาอีกสักพักก็ผ่านแยกขึ้นภูชี้ฟ้า แวะพักเที่ยงกินก๋วยเตี๋ยวที่บ้านตับเต่า อิ่มแล้วก็ออกตะกายดอยต่อ ผ่านบ้านไคร้จากนั้นก็เริ่มเป็นทางราบ ราวๆ 4 โมงเย็นผ่านทางแยกเข้า อ.ภูซาง
![]() |
ที่ อ.เชียงคำ พะเยา |
มาถึงเชียงคำประมาณ 6 โมงเย็น หาข้าวเย็นกินในตลาดแล้วซื้อเสบียงที่เซเว่นฯ เช็คระยะทางได้ 100 กม. พอดี รู้สึกยังไม่เหนื่อยเลย แรงยังเหลือ ก็เลยปั่นออกไปหาที่พักนอกเมือง ไปถึงโรงพักนึกขึ้นได้ว่าพกเบียร์มาด้วย รู้สึกเกรงใจตำรวจ เลยปั่นต่อออกนอกเมืองไกลขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมืดแวะเปิดไฟ ปั่นหาที่พักมาเรื่อยๆ แต่ไม่มีวีแววเลย ข้างทางเป็นป่าและสวนยาง ปั่นมาอีกเกือบชั่วโมงผ่านไร่มันมาเจอสะพาน แวะลงไปดูแต่ไม่มีน้ำ มืดก็มืดหญ้าก็รก เลยตัดใจปั่นต่อ
เกือบสองทุ่มมาเจอปั๊มน้ำมันเล็กๆ เขาแนะนำวัดและโรงเรียนข้างหน้า ไปถึงวัดขวามือปิดประตูหมดแล้ว ตรงข้ามเป็นโรงเรียน พุ่งเข้าไปด้วยใจลิงโลด เห็นคนตั้งวงกินเหล้ากันอยู่ก็เข้าไปถาม เขาชี้ไปทางภารโรง ก็ปั่นกลับไปขออนุญาตผูกเปล แต่เขาตอบเลี่ยงๆ ว่าที่นี่เป็นสถานที่ราชการ ไม่สามารถอนุญาตให้ใครพักได้ แล้วแนะนำให้ไปพักที่วัด ผมก็บอกว่าวัดปิดประตูหมดแล้ว พยายามต่อรองบอกว่าแค่อาศัยผูกเปล อาบน้ำ พรุ่งนี้จะรีบเก็บของออกเดินทางแต่เช้า แต่เขาก็ไม่ยอม บอกว่าต้องขออนุญาตครูใหญ่ก่อน ผมก็เลยขอบคุณแล้วถอยออกมา
ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธมาก เพราะป้อมทหาร ตำรวจ อุทยานแห่งชาติ วัดหรือที่อื่นๆ ที่เคยปั่นจักรยานผ่านไปขออาศัยพักค้างคืน ไม่เคยมีที่ไหนปฏิเสธนักปั่นจักรยาน นี่เป็นครั้งแรกในทริปที่ผมได้ยินประโยคปฏิเสธ
พอปั่นออกมานอกโรงเรียนก็เหลือบไปเห็นศาลากลางบ้านอยู่ในซอยข้างวัด ผมเลยจอดรถเดินไปถามที่ร้านค้าข้างๆ เขาบอกว่าต้องขออนุญาตจากผู้ใหญ่บ้าน แล้วชี้ไปที่บ้านผู้ใหญ่ในซอย ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว ผมนึกในใจ เอาไงเอากันวะ ให้มันรู้กันไปว่าคนไทยมันจะแล้งน้ำใจกันขนาดนี้ เดินไปบ้านผู้ใหญ่ เจอชาวบ้านสองผัวเมีย ผมถามหาผู้ใหญ่บ้าน เขาก็บอกว่าไปกรีดยาง แล้วจึงต่อโทรศัพท์ให้ผมคุยกับผู้ใหญ่ เขาก็อนุญาติอย่างดี คืนนี้จึงได้พักที่ศาลาอเนกประสงค์บ้านแวนโค้ง แล้วพี่ทั้งสองคนก็มาช่วยเปิดไฟแนะนำห้องน้ำให้ แล้วนั่งคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง
ระหว่างที่ผมกำลังจะอาบน้ำก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์มาจอด กรรมการหมู่บ้านสองคนมาขอดูบัตรประชาชน พอเห็นว่าผมเป็นคนใต้ก็ถามขู่ๆ ว่าทำไมไม่ไปร่วมม็อบกำนัน ผมก็บอกไปตรงๆ ว่า ผมรับไม่ได้กับ พรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของม้อบ กกปส. แล้วตอนนี้ข้อเรียกร้องก็กำลังเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว ผมอยากให้แก้ไขวิกติความขัดแย้งครั้งนี้อย่างสันติ คือการเลือกตั้ง ท่าทีเขาจึงอ่อนลง แล้วจึงอธิบายว่าเขาจำเป็นต้องมาตรวจสอบคนแปลกหน้าที่เข้ามาในหมู่บ้าน ผมก็เข้าใจและยินดี เขาทำตามหน้าที่ถูกต้องแล้ว
ก่อนนอนย้อนนึกถึงเรื่องราวช่วงหัวค่ำ ที่โดนภารโรงปฏิเสธแล้วมาโดนกรรมการหมู่บ้านมาซักประวัติอีก ทั้งสองเหตุการณ์ทำให้อารมณ์เสียไม่น้อย แต่พอนึกถึงความเอื้ออารีของชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านก็อดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้ มองย้อนกลับไป หากผมเองเป็นภารโรงหรือกรรมการหมู่บ้าน เจอคนแปลกหน้าปั่นจักรยานมากลางคืน ก็ต้องทำแบบนั้น ทำตามหน้าที่รับผิดชอบ และหากผมเป็นชาวบ้านสองผัวเมียเจอนักเดินทางลำบากก็คงยื่นมิตรไมตรีให้เช่นกัน
นึกถึงคำของ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ ที่บอกไว้ก่อนไปอินเดีย ทำนองว่า จะเตรียมใจให้พร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะน่าพอใจหรือไม่ พร้อมยอมรับแล้วทำความเข้าใจกับมัน
วันนี้ได้ระยะทาง 121.98 กม. เวลาปั่น 6.58 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 17.4 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 71 กม./ชม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น