![]() |
บนถนนสาย 1268 เตรียมขึ้นภูสอยดาว |
เมื่อคืนหนาวมากโดยเฉพาะช่วงหัวรุ่ง แม้จะจัดเต็มชุดนอนก็เอาไม่อยู่ ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก เก็บของเสร็จ ต้มน้ำชงกาแฟ ราวเจ็ดโมงกว่าตำรวจก็เริ่มทยอยมาทำงาน หลายนายพอเห็นนักปั่นแปลกหน้าก็เดินเข้ามาทักทาย ออกจากโรงพักบ้านโคกเกือบ 8 โมง ขณะที่ตำรวจกำลังเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติ ผมเข็นจักรยานผ่านไปด้านหลัง พี่ตำรวจคนหนึ่งเห็นรถทัวร์แขวนกระเป๋าพะรุงพะรัง บอกว่า “น้องบรรทุกน้ำหนักเกินนะ ขอดูใบขับขี่หน่อย” 5 5 5 ฮากันใหญ่
แวะไปรษณีย์ส่งข้าวสารดอย และผ้าพันคอฝีมือชาวลัวะจากน่านให้แม่ พอผ่านตลาดเห็นแผงขายกล้วยทอดก็แวะตุนไว้เป็นเสบียงระหว่างทาง บอกแล้วว่าอย่าให้เจอ บร๊ะจ้าวช่วยกล้วยทอด Power Bar สำหรับเสือโลโซอย่างผม
ปั่นมาตามสาย 1268 ถนนสองเลนสภาพไม่ค่อยดี แคบไม่มีไหล่ทาง มีหลุมบ่อขรุขระอยู่หลายช่วง หลุมไหนหลบไม่ทันก็รูดผ่าน ทดสอบรถไปในตัว วันนี้รู้สึกแรงดี อัดได้เต็มที่ ช่วงแรกเป็นทางราบ ปั่นมาเรื่อยๆ เจอหมู่บ้านเกือบตลอดทาง ตอนสายๆ สวนกับพระธุดงค์คณะหนึ่ง แวะทักทายประสานักเดินทางเหมือนกัน ท่านบอกมาจากอุดรฯ กำลังขึ้นเหนือ ส่วนผมลงมาจากเหนือกำลังไปอีสาน ท่านให้น้ำส้มมาขวดนึง ผมปฏิเสธ แต่ท่านคะยั้นคะยอพร้อมเปิดย่ามให้ดู โห ญาติโยมทำบุญมาเพียบ
นึกถึงสมัยเป็นพระธุดงค์ บางครั้งโยมถวายข้าวของล้นย่าม จนแบกไม่ไหว ต้องแจกจ่ายให้ญาติโยมคนอื่นอีกต่อ คนที่แบกของหนักเต็มโหลด แค่มีน้ำเพิ่มอีกสักขวดเล็กๆ ก็รับไม่ไหวแล้ว ต่างกับจักรยานรับโหลดได้มากกว่าเพราะมีเกียร์ช่วยทดแรง แต่พระธุดงค์มีอยู่เกียร์เดียว เผลอโหลดหนักอัดเต็มๆ กลางคืนมีเดี้ยง ถึงเวลานั้นคาถาผ้ายันต์หลวงพ่อปู่ทวดก็ช่วยไม่ได้ จะมีก็แต่ยาคลายกล้ามเนื้อเท่านั้น
![]() |
เสือฟูลโหลด VS อีแต๊กฟูลโหลด |
สิบเอ็ดโมงเข้าเขต อ.น้ำปาด ทำความเร็วได้บ้างเพราะถนนเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังแคบ ไม่มีไหล่ทางเหมือนเดิม เริ่มขึ้นลงดอยเล็กน้อย ระหว่างทางสวนกับรถอีแต๊กฟูลโหลด ขนฟางมาเต็มกระบะ หยุดถ่ายรูป คนขับใจดีโบกมือทักทายแถมชูสองนิ้วให้ด้วย ตอนเที่ยงหยุดพักขาที่ศาลาหน้าป้อมตำรวจ บ้านห้วยมุ่น ชาร์จโทรศัพท์ กินขนม ตากผ้าและเขียนบันทึก
ออกจากป้อมตำรวจก็เข้าบ้านห้วยมุ่นเจอทางแยกตัดกับสาย 1212 ไปน้ำปาด ผมเลี้ยวซ้ายเกาะเส้นเดิมไปทางภูสอยดาว แวะกินข้าวเที่ยงในหมู่บ้าน ออกปั่นต่อเริ่มขึ้นดอยมาเรื่อยๆ เทือกเขาทมึนก็ทยอยออกมายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าลิบๆ ตา แต่ก็ไม่ไกลเกินตีนปั่น ระหว่างทางสวนกับแก๊งค์ฮาร์เลย์ฯ เกือบสิบคัน น่าจะลงมาจากภูสอยดาว โค้งภูเขาแบบนี้ถูกใจขาซิ่งเขาล่ะ
![]() |
ถนนสาย 1268 ผ่านเขตอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว สองข้างทางเป็นป่าร่มครึ้ม |
พอไต่ระดับได้ที่ถนนก็ลัดเลาะเกาะไหล่เขาไปเรื่อยๆ พอผ่านหมู่บ้านสุดท้าย จากไร่ข้าวโพดโล่งๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นป่าไม้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ปั่นผ่านป่าทึบ ร่ม เย็น ถนนดำๆ แรงดีๆ ก็ซัดกันเต็มๆ อัดมาได้สักพักชักจะหมดแรงก็แวะนั่งใต้ร่มไม้ข้างทาง พอเหงื่อเริ่มแห้งกลายเป็นทรายละเอียดตามแขนขา ก็มีผึ้งตัวเล็กๆ มาเกาะ จะสะบัด ปัดยังไงก็ไม่ไป วนเวียนตอมอยู่นั่น จนต้องปล่อยให้มันตอมไป สังเกตเห็นว่ามันมากินเกลือแร่ที่แขนขานี่เอง แหม่ หยั่งกะแขนเราเป็นดินโป่งซะงั้น ถือซะว่ารับน้ำส้มจากพระมาแบ่งบุญให้ผึ้งละกัน
ปั่นมาอีกหน่อยก็ถึงน้ำตกภูสอยดาว มีทางเดินป่าขึ้นไปยังป่าสนบนยอดภูที่ความสูงระดับ 1,633 ม. ข้างๆ ที่ทำการอุทยานมีรถยนต์จอดอยู่หลายคัน นั่งพักขากินน้ำ สักพักก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาชวนคุย เขาขนจักรยานใส่ท้ายกระบะมาจากนครพนมกำลังจะไปน่าน ปั่นเข้าลาวที่ด่านห้วยโกร๋น คุยกันอยู่พักใหญ่ ตามประสาคนบ้ารถทัวร์เหมือนกัน กว่าจะแยกย้ายก็บ่ายสามกว่าๆ
![]() |
ถนนสาย 1268 พอพ้นเขตอุทยานฯ ภูเขาครึ้มๆ ก็กลายเป็นไร่ข้าวโพด |
ดูจากแผนที่ คืนนี้ตั้งใจจะไปนอนที่น้ำตกวังตาด เขต อ.นาแห้ว ปั่นเลียบภูมาเรื่อยๆ พอพ้นเขตอุทยานฯ ภูเขาทึบๆ ก็เริ่มโล่งเตียนเป็นไร่ข้าวโพดตลอดสองข้างทาง ราวๆ ห้าโมงเย็นมาถึงบ้านร่มเกล้า อดีตสมรภูมิไทย-ลาว จากกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนในปี 2531 สู้รบกันอย่างดุเดือด สูญเสียกำลังพลทั้งสองฝ่ายนับพันนาย จนในที่สุดก็ต้องเจรจาหยุดยิง และมีการก่อตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-ลาว (JBC) ในปี 2539 เพื่อปักปันเขตแดนประมาณ 1,800 ก.ม.
สงครามในโลกนี้แทบทั้งหมดล้วนจบลงด้วยการเจรจา ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ความรุนแรงไม่อาจแก้ปัญหาใดๆ ได้ เหตุผลต่างหากคือทางออก คำถามคือ เราได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์บ้าง..
![]() |
แวะพักขาที่ศาลาข้างทาง |
ราวห้าโมงกว่าลงภูมาถึงหมู่บ้าน แวะถามทางไปน้ำตกวังตาดอีกครั้ง เขาบอกยังอีกไกลและต้องผ่านอีกหลายภูชันๆ ระหว่างทางสวนกับชาวบ้านที่ขับรถอีแต๊กกลับจากไร่ ฟ้าเริ่มมืด แวะเปิดไฟหน้าหลัง ไนท์ไรดิงไปหาที่พัก แวะถามทางอีกครั้งที่บ้านทุ่งปอ ชาวบ้านบอว่าที่หมู่บ้านข้างหน้ามีวัดและโรงเรียน ดูเวลาทุ่มกว่าแล้ว ถนนก็สภาพไม่ค่อยดี ภูก็ชันเอาเรื่อง แรงก็เริ่มหมด เลยตัดสินใจไปพักหมู่บ้านหน้า ตะกายภูชันๆ อีกลูก ลงมาเจอบ้านเหล่ากอหก เห็นป้ายวัดอยู่ท้างซ้ายมือ พุ่งเข้าไปโลด
ไปถึงวัดเหล่ากอหกเกือบสองทุ่ม ขออนุญาตหลวงพ่อพักค้างคืน ได้กางเต็นท์ในศาลา นอนข้างๆ ทีมงานขายถังพลาสติกเร่ สองพ่อลูกขับกระบะขนเครื่องใช้พลาสติกมาจากอีสานเร่ขายในหมู่บ้านห่างไกลไล่มาตั้งแต่เลย พิษณุโลก อุตรดิตถ์ น่าน บางครั้งก็ขึ้นไปถึงเชียงราย
จอดรถ กางเต็นท์เสร็จไปอาบน้ำที่ห้องน้ำหลังวัด น้ำก็เย็นเจี๊ยบ ตัดราดทีเล่นเอาตัวชา จนต้องกลั้นใจรีบๆ อาบให้เสร็จ กลับมาสองพ่อลูกเข้าเต็นท์หลับกันหมดแล้ว ผมหุงข้าวเสร็จเปิดปลากระป๋องคลุกน้ำพริก รอดตายไปอีกมื้อ
คืนนี้นอนวัดในหมู่บ้านกลางดอย อากาศเย็นมาก กางเต็นท์แล้วเอาฟลายชีทคลุมปิดมิดชิดกันลมหนาว แล้วจัดเต็มเครื่องนอนแบบมีอะไรใส่หมด หมวกไหมพรม ถุงมือถุงเท้าครบชุด ซุกเข้าถุงนอนรูดปิดเหลือแค่จมูก
วัดในชนบทนอกจากจะเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชาวบ้านแล้ว ก็ยังเป็นโรงเตี๊ยมเอื้ออาทรให้นักพเนจรอย่างเรา พ่อค้าเร่กับนักปั่นจักรยานได้นอนร่วมชายคาเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย พรุ่งนี้เช้าเราต่างก็ต้องแยกกันไป ตามทางของตน
วันนี้ได้ระยะทาง 83.37 กม. เวลาปั่น 5.23 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 15.4 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 56 กม./ชม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น