วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 4 วันที่ 2 (11/12/13) วัดป่าภูหลักหมื่น- อ.ท่าบ่อ

เลาะเลียบลำโขง ยามเช้าที่ อ.สังคม


ดวงอาทิตย์ส่องแสงมาปลุกตั้งแต่หกโมงกว่า เก็บเต็นท์เสร็จต้มน้ำ ชงกาแฟแกล้มไข่กระทะ (ตั้งใจซื้อหมูยอไว้ตั้งแต่เมื่อวาน) ชาวบ้านที่เข้ามาทำกับข้าวถวายพระชวนกินข้าวด้วยกัน แต่ผมปฏิเสธ เสร็จแล้วไปล้างห้องน้ำเป็นการขอบคุณหลวงพ่อและชาวบ้านที่อนุญาตให้นอนวัด

ขึ้นไปลาพระอาจารย์และชาวบ้าน ออกเดินทางเกือบเก้าโมงเช้า ปั่นลงมาเข้าสายเดิม 211 อีกสิบกิโลก็เข้า อ.สังคม จ.หนองคาย อำเภอเล็กๆ เงียบๆ ปั่นมาเรื่อยๆ ผ่านน้ำตกธารทอง แวะพักที่วัดหินหมากเป้ง ผ่านซุ้มประตูเข้าไปก็สะดุดตากับเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระราชนิโรธรังสีฯ เจดีย์ขนาดใหญ่มองเห็นแต่ไกล ภายในมีหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อดีตเจ้าอาวาส มีประวัติ ผลงานหนังสือธรรมมะ และอัฐบริขารของหลวงปู่

เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระราชนิโรธรังสีฯ

จากนั้นปั่นเที่ยวในวัดไปออกที่ศาลาริมน้ำโขงด้านหลัง ชาวบ้านบอกว่าที่นี่ก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นวันออกพรรษาทุกปี  บริเวณวัดกว้างใหญ่ มีกุฏิเล็กๆ ซุกซ่อนอยู่ตามแนวป่าไม้ร่มรื่น ตามแบบของวัดป่าสายธรรมยุต เท่าที่สังเกต กุฏิหลายหลังถูกทิ้งจนรกร้าง ร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในสมัยที่หลวงปู่ยังอยู่ยังพอมีเค้าให้เห็น แต่ปัจจุบันก็ทรุดโทรมลงตามธรรมดา

แวะผูกเปลนอนพักขาที่ศาลาริมโขง ฝั่งตรงข้ามคือเกาะกลางน้ำโขงอยู่ในเขต สปป.ลาว


ออกจากวัดมาหน่อยก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยว แวะจัดการมื้อเที่ยงแล้วซื้อน้ำกับขนมตุนไว้  ราวบ่ายสองแวะผูกเปลนอนพักที่ศาลาข้างศาลเจ้าแม่ริมน้ำโขง งีบได้สักพักก็ตื่นเก็บของ

กระชังเลี้ยงปลาริมโขงที่เมืองศรีเชียงใหม่ ฝั่งตรงข้ามคือเมืองเวียงจันทร์


สี่โมงเย็นออกปั่นต่อ ผ่าน อ.ศรีเชียงใหม่ อำเภอเล็กๆ เงียบสงบ ตึกแถวเก่าๆ คลาสสิกๆ ยังมีเหลือให้รำลึกถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตขณะที่เมืองเวียงจันทร์ฝั่งตรงข้ามกำลังขยายตัว เต็มไปด้วยตึกใหญ่ๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างบ้านเรือนตลอดแนวโขง

มาถึง อ.ท่าบ่อ ราวหกโมงเย็น ผ่านย่านตลาดมีตึกแถวเก่าๆ หลงเหลือให้เห็น ปั่นไปออกริมโขง ตั้งใจว่าจะไปหาศาลาเงียบๆ พักสักคืน ไปเจอสำนักงานเทศบาล มีสวนสาธารณะริมโขง แต่คนมาวิ่งออกกำลังกายกันเยอะ ข้างๆ มีโรงเรียน เข้าไปดูศาลาอเนกประสงค์ มีมุมหลบๆ ให้พอพักได้ แต่ห้องน้ำล็อคกุญแจไว้ เลยปั่นออกมา ผ่านตลาดเลยแวะกินข้าวเย็น พลางคิดวางแผนหาที่นอนคืนนี้

อิ่มแล้วปั่นออกมาเจอชายคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์มาทักทาย บอกว่าเป็นนักปั่นจักรยานเหมือนกัน แนะนำที่พักให้ แต่ผมปั่นหาไม่พบ เลยปั่นไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีตำรวจภูธรท่าบ่อ แวะเข้าไปขออนุญาตพักค้างคืน ตำรวจแนะนำให้พักที่ศาลาอเนกประสงค์ข้างๆ ที่ว่าการอำเภอ ติดกับโรงพัก อาบน้ำที่ห้องน้ำหลังโรงพักเสร็จก็ไปกางเต็นท์ในศาลาฯ

เท่าที่พบ ตำรวจทุกที่ไม่ว่าสถานีตำรวจภูธรในเมือง หรือป้อมตำรวจประจำตำบลนอกเมืองมักจะเอื้อเฟื้อกับนักเดินทางเสมอ ทุกครั้งที่ขออนุญาติ ยังไม่เคยได้รับคำปฏิเสธ หลายครั้งยังชวนกินข้าวเย็น พอตื่นเช้ามาแถมกาแฟให้อีกมื้อด้วยซ้ำ  เวลาหาที่พักไม่ได้ ตำรวจคือที่พึ่งของผม  นี่เป็นคืนที่สามของทริปที่ขอพักกับตำรวจ

ตอนอาบน้ำเสร็จ ได้คุยกับตำรวจคนหนึ่งอยู่พักใหญ่ๆ แกบอกว่าเพิ่งกลับจากไปเฝ้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อนในทีมคนหนึ่งถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก หัวน็อตเข้ากะโหลกศีรษะป่านนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเลย “นายห้ามพกปืน มีแค่กระบองกับโล่ จะบุกก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ จะทำอะไรรุนแรงกับประชาชนยิ่งไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พกมือถือ ถ่ายรูป ถ่ายคลิปลงเน็ต เสร็จเลย...ไม่ว่าม็อบไหนๆ พวกเราเป็นฝ่ายเจ็บตัวก่อนเสมอ” พี่จ่าบอก จากนั้นก็เล่าเรื่องชีวิตตำรวจว่า ย้ายมาหลายที่ แต่ชอบที่นี่ที่สุดเพราะอากาศดี ค่าครองชีพไม่สูง ชาวบ้านไม่เกเร ที่สำคัญอาหารอร่อยมาก แกแนะนำกุนเชียงของฝากขึ้นชื่อจากเมืองท่าบ่อ และร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเด็ดที่หน้าตลาด ผมสัญญาว่าพรุ่งนี้จะไม่พลาดครับจ่า

วันนี้ได้ระยะทาง 76.97 กม. ความเร็วเฉลี่ย 17.5 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 54 กม./ชม. เวลาปั่น 4.24 ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น