วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 4 วันที่ 4 (13/12/13) โพนพิสัย-บึงกาฬ

ริมโขงยามเช้า ที่โพนพิสัย


จัดการภารกิจยามเช้าคือล้างหน้าล้างตา ต้มน้ำชงกาแฟแกล้มขนมปังเสร็จแล้ว ไปคืนห้องพัก แล้วปั่นมาตามถนนเลียบโขง เช้าๆ จะมีชาวบ้านมาเดิน วิ่งออกกำลังกาย และนั่งพักผ่อนเสวนากันที่ศาลาริมโขง

ชาวโพนพิสัยคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ช่วงออกพรรษาของทุกปีริมโขงแถวนี้จะมีคนมาชมบั้งไฟพญานาคกันเป็นหมื่นๆ คน ถนนที่เห็นว่างๆ ตอนนี้จะมีคนเต็มแน่นยาวเหยียดตลอดแนวฝั่งโขง ที่พักเต็มหมด ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือน

แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์เคยพิสูจน์มาสองสามปีแล้ว ว่าบั้งไฟพญานาคคือแสงของปืนนำวิถีที่ยิ่งมาจากฝั่งลาว ด้วยแม่น้ำโขงกว้างนับกิโลเมตร จึงเกิดการหักเหของแสงหลอกตา เสมือนว่าผุดขึ้นมาจากกลางแม่น้ำ... ไม่ว่าอย่างไร ความเชื่อก็คือความเชื่อ ความจริงก็ยังต้องพิสูจน์ ผมอยากจะมาร่วมบรรยากาศเทศกาลชมบั้งไฟที่นี่สักครั้ง ขณะที่รุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่าอยากข้ามไปชมที่ฝั่งลาว น่าจะได้บรรยากาศอีกแบบ อืม น่าสนใจ

ถนนสาย 212 ที่โพนพิสัย ตัดตรงยาวร่มรื่นด้วยฉำฉาใหญ่


ออกจากย่านเมืองโพนพิสัยมาได้สักหน่อยก็เข้าถนนสาย 212 ถนนแคบ สภาพไม่ค่อยดี แต่สองข้างทางร่มรื่นด้วยต้นฉำฉาใหญ่ และรถวิ่งไม่มาก ถนนตัดตรงยาว ปั่นชมวิวหมู่บ้านและทุ่งนาข้างทางมาเรื่อยๆ  สิบเอ็ดโมงก็เข้าเขต อ.รัตนวาปี เห็นป้ายปั๊มน้ำมันประจำชาติเด่นแต่ไกล แต่ที่ดึงดูดใจคือกาแฟตรานกแก้ว ดื่มด่ำแต่กาแฟซองมาหลายวัน ขออเมริกาโนร้อนๆ สักถ้วยเถอะ นั่งพักขาจิบกาแฟ อาศัยไวไฟฟรี เช็คข่าวทางเฟซบุค ส่งรูปการเดินทาผ่านไลน์ไปอวดมิตรสหาย เสร็จแล้วก็ปั่นเข้าทะลุไปออกซอยริมโขง เจอร้านอาหารริมน้ำน่านั่งเลยแวะกินข้าวเที่ยง สั่งกระเพราเนื้อไข่เจียว อาหารเบสิกๆ ที่อดมานาน

ไกสดๆ ถุงละยี่สิบบาท ที่ตลาดปากคาด


ปั่นมาตามสายหลักมาเรื่อยๆ จนถึง อ.ปากคาด แวะที่ตลาดสด ซื้อหัวมันต้ม เป็นมันท้องถิ่นหัวเล็กๆ หวานมัน เนื้อมีเมือกนิดๆ ลื่นลิ้นดี แผงข้างๆ ขาย “ไก” สาหร่ายน้ำจืดสีเขียวในถุงพลาสติก นับเป็นหนึ่งในอาหารสุขภาพเพราะมีเส้นไย โปรตีน วิตามินและเกลือแร่สูง ปัจจุบันมีการแปรรูปเป็นสินค้าโอท็อปหลากหลาย  ปกติจะหาได้จากคลอง หนองบึง แม่น้ำที่สะอาด จึงนับเป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพลำน้ำอีกอย่างหนึ่ง เพิ่งเห็นตัวเป็นๆ ก็วันนี้

แปลงผักสวนครัว พบได้ทั่วไปตลอดแนวโขง


เปิดแผนที่ดูเห็นทางสายหลักจะตัดตรงเข้าบึงกาฬ ตรงขอบแผนที่มีทางสายเล็กเลียบเลาะโค้งโขง อ้อมหน่อยแต่น่าจะสวยกว่า ถามแม่ค้าเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แล้วปั่นไปตามสาย นค.3021 ถนนสายเล็กๆ ตัดผ่านหมู่บ้าน เลียบเลาะลำโขงไปเรื่อยๆ ที่ลุ่มเป็นทุ่งนา ที่ดอนเป็นไร่ สวนยาง ริมตลิ่งแม่น้ำโขงปลูกผัก เจอศาลาริมโขงแวะพักกินน้ำสักพัก แล้วออกปั่นต่อ แดดบ่ายร้อน แต่ร่มไม้และวิวข้างทางก็ชวนให้ปั่นเพลิน

ผมชอบถนนแบบนี้ ถนนตกสำรวจจากหนังสือท่องเที่ยว ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างที่เขาเป็น ยามปั่นผ่านถนนสายเล็กๆ ต่างถิ่น รู้สึกหัวใจนักผจญภัยมันฟูฟ่อง นึกถึงนักเดินทางรุ่นก่อนที่เดินทางผ่านท้องทุ่ง ป่าเขา ทะเลทราย ไปในชนบทที่ยังร้างไร้ผู้คน มันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน แค่เราได้ปั่นจักรยานผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ยังจื้ดดดด ขนาดนี้

ตื่นจากงีบมาต้มกาแฟแก้ง่วง


ถนนสายเล็กมาตัดกับสายหลักที่บ้านหอคำ รู้สึกเพลียๆ เลยแวะพักที่ตูบเฝ้านาข้างทาง นอนไปงีบหนึ่ง ตื่นมาติดเตาแก๊สต้มน้ำ ชงกาแฟ เพิ่มคาเฟอีนกระตุ้นหัวใจสักหน่อย เก็บของปั่นต่อมาทางสายหลัก ช่วงนี้กลายเป็นถนนสี่เลนไปแล้ว ปั่นมาตามไหล่ถนนมาเรื่อยๆ

สะดือแม่น้ำโขง หน้าวัดอาฮงศิลาวาส


ราวห้าโมงเย็นก็เห็นก้อนหินใหญ่สะดุดตา ข้างหน้ามีป้ายบอก “วัดอาฮงศิลาวาส” ปั่นผ่านสวนหินเข้าไปริมโขง ชมแก่งใหญ่ชื่อเดียวกับวัด และ “สะดือแม่น้ำโขง” แอ่งน้ำวนขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของน้ำโขง หน้าน้ำจะเห็นเศษไม้ลอยวนเป็นก้นหอยแล้วถูกดูดจมหายไป เป็นบริเวณที่มีปลาชุกชุม ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเรือนหอของปลาบึก กลางดึกบางคืนจะได้ยินเสียงปลาบึกซั่มกันโครมคราม ตอนนี้น้ำไม่มาก มีเรือลอยหาปลาอยู่สองสามลำ ที่ฝั่งลาวตรงข้ามก็มีวัดตั้งอยู่ริมน้ำโขง มองเห็นเจดีย์สีเหลืองอร่าม ดูกระทัดรัดสงบเสงี่ยมในผืนป่า ต่างกับเจดีย์ฝั่งเราที่ใหญ่โตอลังการ

ออกมาจากวัดอาฮงได้สักหน่อยก็เข้าเขตเมืองบึงกาฬ เริ่มมืดก็เปิดไฟปั่นมาเรื่อยๆ เจอแขวงการทางบึงกาฬ มีต้นไม้ร่มรื่น ข้างๆ มีอาคารใหญ่โตเปิดโล่ง บรรยากาศปลอดภัยน่าพัก เคยได้ยินว่ากรมทางมักใจดีกับนักเดินทาง ก็เลยทดลองดู แวะเข้าไปขออนุญาตพักกับพี่ รปภ. เขาอนุญาตอย่างใจดี แถมกุลีกุจอหาที่พักให้อย่างเต็มใจ ได้ที่นอนเป็นเวทีในอาคารอเนกประสงค์ ด้านหลังมีห้องน้ำ ไฟฟ้าพร้อมสรรพ ขาดแต่ไวไฟ

จอดรถเก็บของเสร็จเดินออกไปหาข้าวเย็นที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม ได้ซดต้มแซบร้อนๆ กับข้าวเหนียวเป็นมื้อเย็น แล้วซื้อน้ำกะขนมไว้กินพรุ่งนี้เช้า และหิ้วคาราบาวแดงไปฝากพี่ยามคนละขวด เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากนักเดินทาง

เมื่อคืนกางเต็นท์นอนบนเวที (ถาพถ่ายตอนเช้ารุ่งขึ้น)


วันนี้ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า กรมทางหลวง เป็นอีกหนึ่งที่พักสำหรับนักพเนจร ขออนุญาติพักง่าย สะอาด ปลอดภัย มีห้องน้ำและไฟฟ้าพร้อม เช่นเดียวกับโรงพัก ป้อมตำรวจ อุทยานแห่งชาติ วัด และป้อมทหารบางแห่ง

ก่อนอาบน้ำก็ล้างห้องน้ำ แทนคำขอบคุณที่เขาอนุญาตให้พัก ซักผ้าตากไว้ที่ราวด้านหลัง กางเปลเป็นเต็นท์ห่อฟลายชีทมิดชิด จัดเต็มชุดนอน อากาศหนาวกำลังดี

มาถึงตอนนี้พอจะสรุปปัจจัยสำคัญของนักเดินทางได้คร่าวๆ คือ สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีจักรยานพร้อมลุย มีอาหารง่ายๆ พอประทังชีวิต มีน้ำสะอาดให้กินระหว่างทาง มีที่พักปลอดภัยพอกันลมกันฝนได้ และมีถุงนอนอุ่นๆ ที่เหลือค่อยไปหาเอาข้างหน้า

วันนี้ได้ระยะทาง 109.28 กม. เวลาปั่น 5.29 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 19.9 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 36.5 กม./ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น