วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 3 วันที่ 10-14 (6-9/12/13) จบยก 3 พักขาที่เชียงคาน

ตลาดคนเดิน ถนนชายโขง เชียงคาน


พักที่บ้านเช่าของรุ่นพี่ เรือนไม้หลังใหญ่ใต้ถุนสูงแบบอีสาน สามห้องนอน ด้านหลังมีชานนั่งเล่นต่อไปยังครัวไฟและห้องน้ำ  ระหว่างที่พักอยู่ตื่นเช้าทุกวัน  จะนอนหัวค่ำหรือดึกดื่นเที่ยงคืนก็ตื่นเวลานี้  นับเป็นสิ่งดีๆ อย่างหนึ่งที่ได้จากการเดินทาง

มื้อเช้าคือการผจญภัยอย่างหนึ่ง ผมออกไปหาอะไรแปลกๆ มาลองชิมเสมอ ได้ข่าวว่าที่ตลาดสดเทศบาลเชียงคานมีอาหารท้องถิ่นละลานตา ผมไม่พลาด วนเวียนอยู่แถวนั้นเกือบทุกวัน ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ข้าวเปียกเส้น (ก๋วยจั๊บญวน) ปาท่องโก๋ยัดไส้ จุ่มนัว (สุกี้โบราณสไตล์เชียงคาน) ฯลฯ ถ้าแถวๆ ถนนศรีเชียงคานล่าง ก็จะมีอาหารเช้ายอดฮิตคือไข่กระทะ กาแฟ ลองชิมหลายๆ ร้านก็รสชาติคล้ายๆ กัน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่อง  มื้อเที่ยงรุ่นพี่พาไปกินลาบ ส้มตำ ที่เด็ดสุดสำหรับผมคือข้าวเหนียว ข้าวใหม่นึ่งร้อนๆ หอม นุ่ม หวานลิ้นมากๆ มื้อเย็นก็หากินเอาแถวๆ เกสต์เฮาส์

เชียงคานเดิมเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญในอดีต สมัยที่การค้าทางเรือในแม่น้ำโขงยังพลุกพล่าน เรือสินค้าที่ล่องโขงขึ้นลงจะแวะขนถ่ายสินค้าที่เมืองท่าแห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของไทยก่อนจะเข้าลาวไปหลวงพระบาง  แต่หลังจากการค้าสมัยใหม่เปลี่ยนมาอยู่บนถนน บ้านเรือน ร้านค้าสองข้างถนนเชียงคานสายเดิมจึงทยอยปิดร้าง ผู้คนอพยพหันหน้าไปหาถนนสายใหม่  ย่านการค้าริมโขงก็เริ่มเงียบจนแทบกลายเป็นเมืองร้าง  กระทั่งสักสิบปีก่อนเริ่มมีคนมาเห็นสภาพอาคารบ้านเรือนไม้เก่าๆ ริมโขง อากาศเย็นสบายน่าพักผ่อน ก็เริ่มปรับปรุงบ้านเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ ประกอบกับกระแสเมืองเล็ก สงบ เรียบง่าย โรแมนติกเริ่มมา นักท่องเที่ยวบางส่วนที่เริ่มเบื่อปายก็หนีมาเชียงคาน ถ่ายรูปอัพลงโซเชียล มีเดีย จนเกิดกระแสเที่ยวเชียงคานขึ้น  บ้านเรือนไม้เก่าๆ ที่เคยทิ้งร้างถูกรื้อปรับปรุงใหม่ไว้รองรับนักท่องเที่ยว เกสต์เฮาส์ โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รีสอร์ท โรงแรมจึงพร้อมใจกันผุดขึ้นเต็มเมือง

รุ่นพี่ของผมเป็นคนเมืองเลย มาทำเกสต์เฮาส์ที่นี่ได้สักหกเจ็ดปี เล่าให้ฟังว่า เจ้าของเกสเฮาส์ยุคบุกเบิกส่วนใหญ่ก็เป็นคนต่างถิ่นมาเช่าบ้านเก่าจากชาวบ้าน พอเริ่มเห็นว่าธุรกิจเริ่มไปได้ ชาวบ้านก็เปิดบ้านตัวเองให้เป็นที่พักทั้งโฮมสเตย์และเกสต์เฮาส์  ตอนนี้ในเชียงคานมีห้องพักกว่าสามร้อยห้อง ถือว่าเยอะมาก สำหรับเมืองเล็กๆ ขนาดนี้  นักท่องเที่ยวจะคึกคักช่วงหน้าหนาว ส่วนหน้าร้อนก็เงียบสงบ ตบยุง  ช่วงไฮซีซันจึงเป็นช่วงกอบโกย เพื่อเก็บกำลังสำรองไว้สำหรับช่วงโลว์ฯ

ตอนเย็นถนนศรีเชียงคานสายล่าง หรือ “ถนนชายโขง” จะกลายเป็นถนนคนเดิน เรือนไม้สองข้างเป็นเกสเฮาส์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านขายของที่ระลึก  เท่าที่สังเกต เสื้อยืดสกรีน “เชียงคาน” จะมีขายเกือบทุกแผงเสื้อ และหน้าเกสต์เฮาส์หรือร้านอาหารจะมีซุ้มเก๋ๆ ให้ตัวฤทธิ์แวะเซลฟี อัพเฟซฯ ลงอินสตราแกรม เดินไม่เกินสิบก้าวก็แวะอีกซุ้ม ตลอดทั้งสองฝั่ง เดินไปที่ไหนๆ ก็เห็นแต่คนยกมือถือ แท็ปเลท และกล้องขึ้นมาถ่ายรูป   ระยะทางประมาณ 2 ก.ม. หากเดินจากต้นซอยหนึ่งไปสุดซอยยี่สิบสี่ คงต้องมีเวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมง ยิ่งช่วงลองวีคเอนด์ อาจต้องคูณสอง  เท่าที่เดินดูก็ได้อารมณ์คล้ายๆ ถนนคนเดินที่เชียงใหม่ ปาย และถนนข้าวสาร เหล่านี้คือเมืองแห่งฮิปสเตอร์โดยแท้

เดินไปเดินมาอยู่หลายวันจนจำทิศทางได้ แต่กลับรู้สึกว่าเกสต์เฮาส์แต่ละแห่ง ร้านขายของที่ระลึก หรือร้านอาหารแต่ละร้านมันเหมือนกันไปหมด แทบจะหาความแตกต่าง หรือหาร้านที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเองไม่เจอเลย  ผมพยายามเดินหาเสื้อยืดสักตัว อยากเก็บอะไรไว้เป็นที่ระลึกจากเชียงคาน โดยที่ไม่ต้องสกรีนคำว่า “เชียงคาน” ก็แทบหาไม่เจอ  แต่ก็เห็นเสื้อยืดแบบนี้ขายดีมากๆ นักท่องเที่ยวนิยมซื้อใส่ หรือซื้อเป็นของฝาก ทั้งๆ ที่ดูก็รู้ว่าเสื้อพวกนี้ก็สั่งผลิตเป็นโหลๆ มาจากโรงงาน ไม่ใช่ผลผลิตของเชียงคานซะหน่อย

รู้สึกว่าการท่องเที่ยวทุกวันนี้พยายามทำอะไรให้ง่ายเข้าไว้  ไม่ต้องคิดมาก หรือจริงๆ แล้วนักท่องเที่ยวชอบอะไรแบบป็อปๆ เปลือกๆ เสพง่าย ใช้คล่องแบบนี้ ไม่ต้องสนใจประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น ขอแค่ได้มาถึงแล้วถ่ายรูปคู่กับป้ายไว้อวดเพื่อนก็ฟินกันแล้ว

ผักสวนครัวในรั้วบ้าน

เวลาเที่ยว ผมพยายามตามหารสชาติดั้งเดิมของสถานที่นั้นๆ อยากเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เขาอยู่กันจริงๆ  เดินและปั่นจักรยานเล่นตามซอกซอย ก็ได้เห็นบางบ้านที่ยังไม่ได้ปรับปรุงเป็นที่พักนักท่องเที่ยว หน้าบ้านยังมีแปลงต้นหอม พริก ตะไคร้ มันเป็นวิถีชีวิตของชาวอีสาน  ผมชอบภาพแบบนี้ ก็เลยพยายามเดินหาภาพแบบนี้ การท่องเที่ยวแบบดิบๆ ธรรมดาๆ ไม่ต้องเอาใจตัวฤทธิ์จนเกินไป

เรือนไม้เก่าที่เชียงคาน

บ้านไม้เก่าๆ ที่ถูกกาลเวลาขัดเกลา มันมีเรื่องราวตามธรรมชาติอยู่แล้ว โดยไม่ต้องแต่งเติม ขัดเสี้ยน ลงแชล็ค ทาสีให้ฉูดฉาดจนงามเกิน  ข้าวเหนียวใหม่ๆ จากท้องนา ผักสดๆ ในแปลงหน้าบ้าน ปลาน้ำโขง มันมีรสชาติของมันอยู่แล้วโดยไม่ต้องปรุงแต่งจนเกินไป

คิดไปคิดมาก็เกิดคำถาม หรือว่าผมดัดจริต ใจแคบเกินไป... หรือสิ่งที่เห็น วัฒนธรรมป็อปผสมผสาน เสพง่ายๆ เกสต์เฮาส์เก๋ๆ ร้านกาแฟชิลๆ บรรยากาศป็อปๆ พวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มันเองก็ดิ้นรนหาทางดำรงอยู่ในแบบของมัน

เราไม่ควรเอารสนิยมส่วนตัวไปจับมันซะทุกเรื่อง จนเที่ยวไม่สนุก แค่ไปให้ถึง เสพให้รู้ ทำใจกว้างๆ เข้าไว้...นี่ไว้เตือนตัวเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น