วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 3 วันที่ 5 (1/12/13) น่าน-แก่งหลวง

ระหว่างทางขึ้นดอยเสมอดาว-ผาหัวสิงห์

เก็บของเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นเช้าแพ็ครถเสร็จออกมาหาข้าวที่ร้านข้าวซอยต้นน้ำ ข้างวัดภูมินทร์ที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ช่วงกลางวันคนเยอะมาก เช้านี้ผ่านมาเห็นโต๊ะว่างก็เลยจัดไป ข้าวซอยเนื้อกับขนมถ้วย ล้างคอด้วยกาแฟโบราณเย็นๆ  อิ่มแล้วปั่นมาทางสาย 101 มุ่งหน้าสู่เวียงสา ถนนสองเลนบางช่วงกำลังขยายเป็นสี่เลน มีเครื่องจักรกำลังทำงาน ปั่นชิดไหล่ทางมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นทางราบ

บ้านเรือนไทยประยุกต์หลังคาแแบน ระหว่างทางสาย 101 ชานเมืองน่าน


ข้างทางเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนทรงไทยประยุกต์ ในช่วงราว พ.ศ. 2520 ที่ปรับจากเรือนไทยเครื่องไม้ใต้ถุนสูง หลังคาจั่วชันๆ หน้าต่างบานเล็ก กลายเป็นเรือนไทยหลังคาแบน ข้างบนไม้ล่างปูน หน้าต่างรอบบ้าน ข้างบนติดกระจก  ผลจากการรับอิทธิพลจากข้างนอกมาผสมผสานปรับเข้ากับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ รูปแบบวิถีชีวิต และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ก็นับว่ามีเสน่ห์ไปอีกแบบ  ศิลปวัฒนธรรมที่มีชีวิตย่อมมีพลวัต มีการรับเข้าและถ่ายออก มิใช่อย่างในพิพิธภัณฑ์ที่หยุดนิ่ง นั่นสำหรับไว้ศึกษารากเหง้าในอดีต

ห้องแถวไม้ย่านตลาดเวียงสา


มาถึงเวียงสาราว 11 โมง แวะซื้อกล้วยทอดกับไมโลดิบ (ไมโลเย็นใส่ไข่มุกโรยหน้าด้วยผงไมโล) หวานมัน ให้พลังงานสูง  กล้วยทอดก็เป็นอาหารที่หากินง่ายตามข้างทาง อร่อย ให้พลังงานสูงเหมาะกับนักปั่นอย่างยิ่ง  ที่ผ่านมาเจอเกือบทุกอำเภอ และผมก็ซื้อกินเกือบทุกวัน

โรงบ่มใบยาสูบที่ อ.นาน้อย


ออกจากเวียงสาเข้าสาย 1026 ถนนสองเลนสภาพดี ข้างทางมีโรงบ่มใบยาสูบก่ออิฐมอญสีส้มแดง สูงใหญ่เหมือนโรงนา ตั้งเรียงรายใต้ต้นฉำฉา เหมือนหมู่บ้านจัดสรร  มาถึง อ.นาน้อย ราวบ่ายโมง แวะกินขนมจีนน้ำเงี้ยว  ตอนแรกตั้งใจจะต่อข้าวมันไก่อีกชาม แต่แค่ชามแรกก็อิ่มแล้ว  ร้านอาหารในอำเภอนอกๆ มักจะให้ปริมาณเยอะ โดนเข้าไปชามเดียวอยู่  แต่ถ้าในเมืองคงมีเบิ้ล  อาจเพราะชาวบ้านต้องกินให้อิ่มเพื่อใช้แรงงานมากกว่าเน้นรสชาติเหมือนในเมือง  แต่ใช่ว่าจะไม่อร่อยนะ รสชาติจะออกจัดจ้าน ตรงไปตรงมา เพราะได้วัตถุดิบสดใหม่  บางอย่างก็เป็นอาหารประจำถิ่นแปลกๆ ที่หากินที่อื่นไม่ได้

การชิมอาหารต่างถิ่นจึงนับเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง

ออกจากนาน้อยก็เลี้ยวซ้ายไปทางสาย 1083 แถบสีเขียวทึบๆ ในแผนที่เตือนให้ผมแวะซื้อน้ำและเสบียงตุนไว้  วันนี้เต็มที่ ถึงไหนถึงกัน  เริ่มขึ้นดอยได้สักพักก็แวะพักที่ศาลากรมทางหลวง ลดน้ำหนักพุทราไปสามสี่ลูกกะโอวัลตินอีกกล่อง  สักพักก็ขึ้นอาน ป้ายข้างทางบอกเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อัดขึ้นดอยมาเรื่อยๆ ยังไม่ชันมาก ลากเกียร์ 1x4-3-2-1 มาตลอด พอหมดแรงก็หยุดพักเป็นช่วงๆ ราวห้าโมงเย็นมาถึงปากทางเข้าดอยเสมอดาว-ผาหัวสิงห์  เลี้ยวซ้ายตะกายดอยขึ้นไปตามถนนลูกรัง  รถยนต์เร่งเครื่องแซงจนฝุ่นคลุ้ง ราวสนามแข่งปารีส-ดาการ์  ผมต้องเอาผ้าปิดจมูก หยุดรอให้ฝุ่นจางก่อนค่อยตามไป

แม่น้ำน่าน มองจากจุดชมวิวดอยเสมอดาว-ผาหัวสิงห์ ฝั่งตะวันตกป่ายังสมบูรณ์

ระทางประมาณกิโลฯ เดียวแต่ชันพอให้รถยนต์ได้ลากเกียร์ 1-2 แถมผิวเป็นลูกรังหินลอยจึงเสียเวลาไปพอสมควร  นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่กำลังกางเต็นท์เห็นผมปั่นจักรยานขึ้นมาก็ปรบมือให้ ผมได้แต่ค้อมหัวกล่าวขอบคุณ ปั่นไปหาที่จอดรถข้างหลัง พักกินน้ำพอหายเหนื่อยก็เดินขึ้นไปที่จุดชมวิวดอยเสมอดาว-ผาหัวสิงห์  มองเห็นทิวทัศน์รอบตัว ด้านตะวันออกเห็นเมืองนาน้อยอยู่ลิบๆ ภูเขาแหว่งวิ่น  ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นแม่น้ำน่านที่สองข้างเป็นผืนป่าสีเขียวเข้มสุดสายตา  ป่าฝั่งนี้ยังอุดมสมบูรณ์มาก มองไม่เห็นรอยแหว่งวิ่น แสดงว่าแทบจะไม่มีการบุกรุกผืนป่าเลย ผิดกับภูเขาที่ผ่านๆ มาตลอดทาง

บนจุดชมวิวดอยเสมอดาว-ผาหัวสิงห์ ด้านล่างคือลานกางเต็น ถัดจากภูเขาลิบๆ ตาคือเมืองนาน้อย


บริเวณจุดชมวิวบนยอดเนินถูกปรับพื้นที่ ตัดต้นไม้ออกจนโล่งเตียน เพื่อเปิดพื้นที่ให้มองเห็นทิวทัศน์ 360 องศา ลานกางเต็นท์ก็ถูกปรับเป็นขั้นบันไดโล่งๆ ต้นไม้ใหญ่เหลืออยู่ขอบๆ ไกลๆ  อาจจะเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นอนชมดาวตามชื่อดอยหรือเปล่า  เห็นแล้วก็น่าใจหายจุดชมวิวในอุทยานแห่งชาติก็โล่งเตียนไม่ต่างกับภูเขาหัวโล้นรอบๆ เลย

วันนี้เป็นวันอาทิตย์เป็นช่วงวันหยุดยาวไปถึงวันพ่อจึงมีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร เดิมคิดจะพักที่นี่แต่พอเห็นนักท่องเที่ยวเยอะ เลยขอไปหาที่พักเงียบๆ ข้างหน้า  ถามทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เขาบอกว่า ออกไปอีกหน่อยก็จะเจอผาชู้ ขึ้นไปอีก 2 กม. ก็ถึงอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จากนั้นก็จะเป็นทางลงตลอดจนถึงแก่งหลวง มีห้องน้ำ มีที่กางเต็นท์  ฟังน้ำเสียงของ จนท. ก็ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่  แต่ผมอยากไปนอนที่สงบๆ ริมน้ำมากกว่า

แสงสุดท้ายบนสะพานข้ามน้ำน่าน


ลงมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำน่านก่อนแสงสุดท้ายจะหมด แวะถ่ายรูปแล้วก็ปั่นเข้าแก่งหลวง ไปถึงก็เดินสำรวจหาที่ผูกเปล เห็นห้องน้ำก็เข้าไปดู ไม่มีน้ำ มีแต่ร่องรอยอารยธรรม  ได้ที่พักด้านหลัง ลานโล่งใต้กอไผ่ ข้างลำธารสายเล็กที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน่าน  หลบพ้นจากสายตานักท่องเที่ยว และชาวบ้านที่เข้ามาหาปลา  หาต้นไม้เหมาะๆ ผูกเปลไม่ได้ ก็เลยต้องเปลี่ยนโหมดเปล Siam Hammock เป็นเต็นท์

เมื่อคืนนอนเต็นท์ ข้างคลองสายย่อยที่แก่งหลวง (ภาพถ่ายเช้าวันรุ่งขึ้น)


กางเต็นท์เสร็จก็หาฟืนมาก่อไฟไล่ยุง ติดแก๊สหุงข้าว แล้วไปอาบน้ำคลอง ซักผ้า กลับมาข้าวสุกก็เปิดปลากระป๋อง โรยน้ำพริก รอดตายไปอีกมื้อ

เสร็จแล้วเก็บขนมแขวนให้พ้นมด คลุมเบาะกันน้ำค้าง เก็บของเรียบร้อย เอาฟืนดุ้นใหญ่สุมไฟเสร็จก็เข้าเต็นท์ มุดเข้าถุงนอน มีดพับกับไฟฉายอยู่ใกล้มือ  คืนนี้ได้นอนกลางป่าคนเดียวสมใจ เงียบสงบได้ยินแต่สายน้ำไหลผ่านแก่งหิน นานๆ ทีจะมีรถยนต์วิ่งผ่าน สาดแสงเป็นลำผ่านความมืดแล้วหายไป

วันนี้ทำระยะทางได้น่าพอใจ ได้ตั้งแค้มป์ข้างลำธารอย่างที่เคยฝัน  ตอนเย็นวุ่นวายอยู่กับการกางเต็นท์และหุงหาอาหารจนไม่ได้คิดอะไร แต่พอแสงเริ่มหาย ความมืดเข้าปกคลุม ใจที่เคยฟูๆ ก็เริ่มแฟบ  ยามกลางวันมีความอหังการบนหลังอานคอยปลุกให้ใจฮึกเหิม สนุกและทุกข์ทรมานจนลืมความกลัว  พอหมดแสง รอบตัวมีแต่ความมืด ต้นไม้ป่าและละเมาะข้างๆ ลำธารกลับกลายเป็นป่าทึบ ลึกลับซับซ้อนกว่าเดิม  เสียงน้ำไหลผ่านแก่งหินก็ยิ่งกึกก้อง เสียงแมลงและสัตว์กลางคืนก็กระทบโสตปราสาทยิ่งกว่า แค่ลมพัดกิ่งไม้ไหวเล็กน้อยก็รู้สึกเย็นยะเยือก จนต้องกล่อมใจตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน เรามาดีๆๆ มาขอพึ่งพาอาศัย มาด้วยจิตที่เป็นกุศล คงไม่มีอะไรมารบกวน

ระหว่างนอนกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ เบาๆ เหมือนมีใครกำลังเก็บของอยู่ใกล้ๆ ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ ก็ต้องพิสูจน์ให้รู้ไม่งั้นก็นอนมุดอยู่ในนี้ไปตลอดชีวิต  คว้าหลวงพ่อ Princeton Tech มาคาดหัวแล้วกำหลวงพี่ GERBER จนเหงื่อชุ่มมือ  มา มาพิสูจน์กัน อะไรที่ไม่เคยเห็นจะได้เห็นกันจะๆ อะไรที่ไม่เคยเชื่อจะได้เชื่อกันคืนนี้แหละ  ค่อยๆ รูดซิปเต็นท์ช้าๆ เบาๆ มือหนึ่งกำมีด ค่อยๆ คลานศอกออกจนพ้นผ้าใบกันฝน แล้วเปิดไฟฉาย... แสงแวววาวสีขาวสองดวงสะท้อนวูบ แล้วโดดผลุง หายไปด้านหลังก้อนหิน พลันลมหายใจที่อั้นอยู่ในอกก็พรูออกมา

ออกจากเต็นท์ไปดูใกล้ๆ แหม่ ทูนหัวของบ่าวแอบย่องมาเลียเศษปลากระป๋องนี่เอง เล่นเอาใจหายหมด  ก็เลยเอาข้าวที่เหลือคลุกๆ แบ่งให้เจ้าที่เขาไปหน่อย  ลูกช้างขออภัยลืมนึกถึงทั่น

เคยได้ยินว่า พรานและคนเดินป่าเวลาตั้งแค้มป์ ก่อนกินข้าว พวกเขาจะแบ่งอาหารเล็กน้อยใส่ใบไม้ถวายเจ้าป่าเจ้าเขา  ด้วยความศรัทธาวิทยาศาสตร์ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพรรค์นี้  แต่ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่านั่นเป็นการแสดงความเคารพต่อพลังอำนาจที่เหนือกว่า  คือการอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ  เราไม่ได้ยิ่งใหญ่ และเราก็ไม่ได้อยู่คนเดียว  ผลคือการแบ่งปันต่อสิ่งมีชีวิตอื่น คือการแผ่เมตตาที่กินได้จริง

วันนี้ได้ระยะทาง 95.28 กม. เวลาปั่น 5.47 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 16.4 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 59 กม./ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น