วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 4 วันที่ 11 (20/12/13) ผาแต้ม-วารินชำราบ (จบทริปเลาะเลียบลำโขง 56)

จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ลานหิน ผาแต้ม


ราวหกโมงเช้าก็ได้ยินเสียงเต็นท์ข้างๆ เก็บของขับรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ผมนอนต่อ ตื่นเจ็ดโมงกว่า อ้อยอิ่งต้มน้ำชงกาแฟ นั่งจิบไปเรื่อย กว่าจะได้ออกสตาร์ทก็แปดโมงกว่า


เสาเฉลียง
ผ่านเสาเฉลียงลักษณะเป็นหินทรายที่ถูกธรรมชาติกัดกร่อนจนดูคล้ายเสาหิน ลักษณะคล้ายๆ ที่ อช.ภูผาเทิบ (เสาเฉลียงเพี้ยนมาจากคำว่า "สะเลียง" ที่แปลว่าเสาหิน) แวะชมสักพักก็ปั่นต่อ ผ่านลานหินที่มีทุ่งดอกไม้ขึ้นช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ตอนนี้เฉาหมดแล้ว ไปถึงที่ทำการ อช.ผาแต้มราวแปดโมงครึ่ง ลานจอดรถหน้าที่ทำการอุทยานเป็นลานหินกว้างๆ ผิวตะปุ่มตะป่ำ เท่มากกกก

จอดรถที่ข้างตึกที่ทำการอุทยานแล้วไปเดินเล่นชมภาพเขียนด้านล่าง ระหว่างทางจะผ่านหน้าผาจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น มองเห็นวิวแม่น้ำโขงข้ามไปถึงฝั่งลาวลิบตา ทางเดินลงไปชมภาพเขียนอยู่ด้านขวามือ ถูกปรับเป็นขั้นบันไดและมีราวจับ

ภาพเขียนฝาผนังที่ถูกมือดีขีดทับ


ระหว่างทางมีป้ายเตือนอยู่ตลอด ให้ระวังอันตรายจากการลื่นล้ม ห้ามนำไม้มาค้ำหินและห้ามสัมผัสทำลายภาพเขียน แต่ก็ตามประสาคนไทยๆ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ จึงมีคนเอาเศษไม้เล็กใหญ่ไปเสียบค้ำผาหินอยู่เต็มไปหมด บางที่ก็มีคนเอาก้อนหินแบนๆ วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนเสาเฉลียง แต่ที่น่าเศร้าใจคือมีมือดีมาขีดเขียนผนังผา ภาพเขียนสีบางภาพก็มีรอยขูดขีดทำลาย ทั้งๆ ที่มีรั้วลวดหนามกั้นไว้แล้ว

ภาพเขียนที่ผาแต้มเป็นภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์อายุสามสี่พันปี มีทั้งหมด 4 กลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์จำพวกปลา เต่า งู วัวควาย เครื่องมือจับปลา อาวุธ คน รูปทรงเรขาคณิต ภาพเกี่ยวกับวิถีชีวิตและพิธีกรรม

ภาพเขียนกลุ่ม "ผาแต้ม" 


กลุ่มแรกคือภาพเขียนสีผาขามระยะทางประมาณ 400 ม. ด้านหน้ามีรั้วลวดหนามกั้นไว้พร้อมป้ายเตือน แต่เนื่องจากภาพเขียนอยู่ต่ำจึงมีรอยขูดขีดทับภาพเขียนสี ผาหินก็มีร่องรอยถล่มลงมากองอยู่ด้านล่าง เดินต่อมาอีกหน่อยถึงกลุ่มภาพเขียนสีผาแต้ม เป็นกลุ่มภาพเขียนที่ใหญ่ที่สุด ยาวประมาณ 180 ม. ภาพเขียนกลุ่มถัดไปคือผาหมอนต้องเดินไปอีกเกือบกิโลฯ ก็เลยตัดสินใจกลับ เก็บแรงไว้ปั่นจักรยาน ทริปวันนี้ยังเหลืออีกไกล

จบทริปที่โขงเจียม จุดชมวิวแม่น้ำสองสี


ออกจากผาแต้มเกือบสิบเอ็ดโมง ปั่นมาตามถนนสาย 2112 ถนนสองเลนสภาพดี มาถึงโขงเจียมเที่ยงกว่าๆ แวะนั่งพักกินกาแฟที่หน้าสถานีตำรวจ แล้วปั่นไปวัดโขงเจียมชมวิวแม่น้ำมูลไหลมาลงแม่น้ำโขง กลายเป็นแม่น้ำสองสีตัดกันอย่างชัดเจน คือ “โขงสีปูน มูลสีคราม” ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

โขงเจียมคือเป้าหมายของทริปนี้ จากที่ตั้งใจว่าจะลงรถไฟที่อุตรดิถต์แล้วปั่นมางานแต่งรุ่นพี่ที่ อ.พร้าว เชียงใหม่ แล้วเลียบขอบชายแดนมาออกแม่สาย เลาะเลียบลำโขงช่วงแรกจนถึงแก่งผาได แล้วตัดป่าผ่าดอยมาเรื่อยๆ จนออกเชียงคานเลาะโขงช่วงที่สองมาโขงเจียม ไฮไลท์ของทริปคืออยากปั่นเลียบโขง แต่กว่าจะกว่าจะมาถึงแม่น้ำก็มัวเพลินกับดงดอยอยู่พักใหญ่ ออกจากบ้านวันที่ 7 พ.ย. มาถึงนี่ 20 ธ.ค. ใช้เวลาไปสี่สิบกว่าวัน กับระยะทางสองพันห้าร้อยกว่าโล ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายแล้ว...เย้พพพ

แต่ช้าก่อน แม้ถึงเป้าหมายแล้ว แต่การเดินทางก็ใช่ว่าจะสิ้นสุดแค่นี้ ยังต้องปั่นเข้าเมืองอุบลราชธานีไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน

บันไดปลาโจน ที่เขื่อนปากมูล


แวะกินข้าวเที่ยงเสร็จก็ปั่นกลับทางเดิมไปเลี้ยวซ้ายเข้าสาย 2222 ปั่นแวะเข้าไปเที่ยวเขื่อนปากมูล สถานที่ๆ กลายเป็นตำนานการต่อสู้ของชาวบ้านที่ต่อมารู้จักกันในนาม "สมัชชาคนจน" เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากที่ดินที่ถูกน้ำท่วม 117 ตร.กม. ชาวบ้านราว 3,000 ครอบครัว ประมาณ 25,000 คน ต้องสูญเสียวิถีชีวิต และอาชีพจากการสร้างเขื่อน ต่อมาได้มีการเรียกร้องให้เปิดประตูเขื่อนให้ปลาขึ้นมาวางไข่และฟื้นฟูระบบนิเวศน์ กลายเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานมาถึงทุกวันนี้

เรือหาปลาลอยเคว้งหลังประตูระบายน้ำ เขื่อนปากมูล 

ท้ายเขื่อนมีเรือหาปลาถูกปล่อยลอยเคว้งคว้าง อย่างไร้ชีวิตชีวา ผมไม่แน่ใจว่าเขื่อนแห่งนี้จะคุ้มค่ากับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และสิ่งแวดล้อมที่สูญเสียไปสักแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ สำหรับผม มันคือสิ่งก่อสร้างที่แสนอัปลักษณ์ ต่างจากสิ่งประดิษฐ์อย่างจักรยาน

สันเขื่อนเป็นถนนตัดเข้า อ.สิรินธร ถนนสายหลัก 4 เลน รถส่วนใหญ่นิยมใช้เส้นนี้ แต่ผมอยากปั่นเงียบๆ ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ เลยปั่นกลับไปออกถนนสายเดิม ปั่นมาเรื่อยๆ ตามถนนสองเลนสภาพดี บางช่วงผ่านป่าไม้ร่มรื่น สลับกับไร่นาและหมู่บ้าน

เด็กๆ ที่บ้านทรายมูล หมู่บ้านทำกลองเพล กลองยาว ฆ้อง ระฆัง


ราวบ่ายสามโมงถึงบ้านทรายมูล แวะพักขาที่ศาลาข้างทาง เห็นเด็กๆ ที่บ้านข้างหลังวิ่งเล่นกันอยู่รอบๆ กลองเพลใบใหญ่ท่วมหัว สังเกตดูรอบๆ บ้านก็มีไม้ท่อนใหญ่ๆ หลายท่อน ปั่นออกมาหน่อยก็เจอร้านขายกลองเพล ฆ้องและระฆังอีกหลายร้าน

แวะอีกครั้งที่ร้านขายเครื่องจักสานไม้ไผ่ คุยกับแม่ค้าได้ความรู้ว่า กระติบมีหลายแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ของยโสธรงานจะละเอียดขึ้นรูปสวย มีแกะลวดลายที่ขาด้วย ผมอุดหนุนมาสองใบ อีกใบเป็นทรงลูกจันทร์แป้นๆ จากฝั่งลาว เธอบอกว่ารับมาจากช่องเม็ก คนรักงานจักสานพวกนี้ไม่ควรพลาด

แม่น้ำมูล ถ่ายบนสะพานพิบูลมังสาหาร


ออกปั่นต่อสักพักก็ขึ้นสะพานพิบูลมังสาหาร ข้ามแม่น้ำมูล แม่น้ำกว้างใหญ่มาก ปั่นผ่านตัวเมืองพิบูลฯ ห้าโมงเย็น ตัดเข้าถนนสถิตย์นิมานกาล สาย 217 ถนนสี่เลน รถเยอะแต่ไหล่ทางกว้าง ปั่นสบาย พอเข้าเขต อ.สว่างวีรวงศ์ ก็เจอแผงขายซาลาเปาเต็มไปหมดตลอดสองข้างทาง จนเลือกไม่ถูก แวะมั่วๆ อุดหนุนมาชุดหนึ่ง 10 ลูกได้ครบทุกไส้ นึกถึงแผงไข่เค็มแถวบ้าน คนต่างถิ่นผ่านมาก็คงตาลายเหมือนผมตอนนี้

ราวหนึ่งทุ่มรู้สึกหิวข้าว ขาก็เริ่มอ่อน แวะร้านลาบข้างทางที่บ้านท่าช้าง สั่งเบียร์มาแกล้มลาบเนื้อ ต้มเปื่อย ข้าวเหนียว แซ่บอีหลีมากๆ แถมไวไฟฟรีด้วย อิ่มแล้วอัพเดทข่าวสารจากโลกออนไลน์สักหน่อยแล้วออกปั่นต่อ

มาถึงวารินชำราบเกือบสองทุ่ม ปั่นเรื่อยๆ มาตามป้ายจนถึงสถานีรถไฟอุบลราชธานี มีรถไฟเข้ากรุงเทพฯ กำลังจะออกพอดี แต่ผมไม่รีบ อยากนอนค้างที่อุบลฯ สักคืน จองตั๋วรถไฟพรุ่งนี้เช้า เพราะอยากเดินทางกลางวัน ขอนั่งชมวิวข้างทางแบบที่ไม่ต้องควงขาบ้าง

คืนนี้พักโรงแรมเก่าๆ ใกล้สถานีรถไฟ ห้องพัดลมรถคาถูก คืนละสองร้อย ไม่ต้องการทีวีขอแค่มีไวไฟ ก่อนนอนรู้สึกปวดฟัน ขอเปิดเบียร์สักกระป๋อง หวัดเรื้อรังช่างมัน ตอนนี้ขอฉลองก่อน CHEERS!

วันนี้ได้ระยะทาง 114.41 กม. เวลาปั่น 6.07 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 18.7 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 51.5 กม./ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น