วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 3 วันที่ 8 (4/12/13) บ้านเหล่ากอหก-ป้อมตำรวจอาฮี

บนถนนสาย 2195 เขต อ.ด่านซ้าย

เมื่อคืนแม้อากาศจะหนาวกว่าคืนก่อน แต่ได้กางเต็นท์บนเสื่อแล้วคลุมฟลายชีททับมิดชิด จึงได้นอนหลับสบาย ได้ยินเสียงพ่อลูกตื่นนึ่งข้าวกันตั้งแต่ตี 5 ผมนอนต่ออีกชั่วโมง ล้างหน้าเก็บของ ต้มน้ำชงกาแฟ  ราวๆ 7 โมงเช้า ทีมงานพ่อค้าเร่ก็ติดเครื่องออกเดินทางไปก่อน  ผมเก็บของเสร็จ 8 โมงค่อยไปลาหลวงพ่อ

ตอนเช้าอากาศหนาวมากจนต้องสวมเสื้อคลุมกันลมอีกชั้น แต่มือเท้าก็เย็นจนเริ่มชา  ออกจากวัดเหล่ากอหก ขึ้นถนนสาย 1268 ผ่านหมู่บ้านหน่อยเดียวก็เริ่มตะกายภูชันๆ ขนาดลากเกียร์ 1x1 กันยาวๆ สวนกับลมเย็นๆ ระยะทาง 5 กิโลฯ ขึ้นล้วนๆ ใช้เวลาไปร่วมโมง  นับว่าตัดสินใจถูกต้องที่เมื่อคืนพักที่วัดในหมู่บ้านข้างล่าง ไม่งั้นมีหมดแรง ได้เข็นอลูฯ ขึ้นภูแน่ๆ

เสือเจอเสือ หน้าป้ายถิ่นกำเนิดลูกเสือชาวบ้าน บ้านเหล่ากอหก



บนยอดภู มีป้าย “ยินดีต้อนรับสู่ถิ่นกำเนิดลูกเสือชาวบ้าน” ใหญ่โตตั้งเป็นซุ้มอยู่ข้างทาง  กิจการลูกเสือชาวบ้านเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการที่นี่เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2514 โดย พ.ต.อ. สมควร หริกุล ได้จัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครชาวบ้านมาฝึกในค่าย ตชด. เพื่อใช้เป็นแนวร่วมต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ที่กำลังขยายอิทธิพลอยู่ในบริเวณนี้  ภายหลังได้ขยายการฝึกอบรมชาวบ้านไปตามแนวชายแดนอื่นๆ จนทั่วประเทศ  ในปี 2519 ลูกเสือชาวบ้านได้ถูกฝ่ายการเมืองดึงเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ "6 ตุลา 19"  ปัจจุบันลูกเสือชาวบ้านยังคงมีการฝึกอยู่บ้างในต่างจังหวัด แต่ก็ลดบทบาทและความสำคัญลงไป

ระยะทางขาขึ้นภูยาวและชันพอๆ กับขาลงแต่ใช้เวลาต่างกันลิบลับ ราวห้านาทีก็ลงมาถึงตีนภู ผ่านสวนป่านาปอ มาอีกสักพักก็เจอทางแยกซ้ายเข้า อช.ภูสวนทราย ป้ายบอกระยะทาง 3 กม.เข้าไปถึงที่ทำการอุทยาน ผมปั่นตรงไปผ่านน้ำตกวังตาด มาอีกสักพักก็ถึงน้ำตกช้างตก จอดรถแวะลงไปนั่งพักกินขนมที่ริมลำธาร  พอหายเหนื่อยก็ขึ้นอานปั่นผ่านน้ำตกคริ้ง  ถนนช่วงนี้สภาพดีลัดเลาะไหล่เขาเลียบลำน้ำมาเรื่อยๆ ข้างทางจึงมีน้ำตกหลายแห่ง สองข้างทางเป็นป่าร่มครึ้ม

โบสถ์เก่าหลังงามที่วัดศรีโพธิ์ชัย





เที่ยงๆ ก็พ้นเขตภูลงมาสู่ที่ราบ มองเห็นโบสถ์หลังงามของวัดศรีโพธิ์ชัยอยู่ข้างทุ่งนา พอผ่านซุ้มประตูวัดเข้าก็สะดุดตากับโบสถ์เก่าแก่ร่วม 400 ปี หลังคากระเบื้องเคลือบซ้อนสามชั้น ชายคาต่ำรับด้วยเสาไม้สีเข้ม ผนังก่ออิฐถือปูนผุกร่อน ที่บานประตูมีภาพเขียนยักษ์ทวารบาล หน้าบันเป็นไม้แกะสลักเป็นรูปเทวดา ลงรักปิดทอง ดูเหมือนเพิ่งได้รับการบูรณะไม่นาน โบสถ์เป็นศิลปะเชียงแสนร่วมสมัยกับวัดเชียงของที่เมืองหลวงพระบาง  ข้างๆ มีหอไตรสูงเด่น และมณฑปพระเพชรสีเหลืองอร่ามมองเห็นแต่ไกล

"เล้าข้าว" หรือ "ยุ้งข้าว" แบบอีสาน หลังเล็กน่ารัก

เกือบบ่ายโมงถึงทางแยกเข้า อ.นาแห้ว แวะกินข้าวเที่ยง เปิดแผนที่เช็คอีกครั้ง ข้างหน้ามีแต่สีเขียวๆ ภูดอยอีกยาวไกล แวะซื้อน้ำขวดใหญ่และเสบียงตุนไว้  สิ่งที่ประทับใจเมื่อผ่านหมู่บ้านก็คือ “เล้าข้าว” หรือยุ้งขาวทางอีสาน รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังเล็กกะทัดรัด เรียบง่าย ยกพื้นเตี้ยๆ เสาสอบขึ้นรับหลังคากระเบื้องหรือสังกะสี ผนังกั้นไม้ฝา ไม้ไผ่สาน หรือสังกะสี ข้างๆ วงกบประตูด้านบนจะแขวนดอกไม้สำหรับบูชาพระแม่โพสพ ขนาดและจำนวนเสาลดหลั่นกันไปตามขนาดครัวเรือน

ยุ้งข้าวนี้เองที่บอกว่าผมกำลังเข้าอีสานแล้ว เพราะตั้งแต่นาแห้วไปตลอดทางเลียบโขง ผมจะพบเห็นยุ้งข้าวทรงเดียวกันนี้ ซึ่งแตกต่างกับยุ้งข้าวทางเหนือในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

แวะพักขา งีบเอาแรงที่กระท่อมเฝ้าไร่ข้างทาง

ออกจากหมู่บ้านก็เริ่มขึ้นภูมาเรื่อยๆ ตามสาย 2195 ถนนสภาพไม่ค่อยดี แคบ ไม่มีไหล่ทาง นานๆ ทีจะมีรถสวนมาสักคัน ถนนบนภูข้างทางเตียนโล่ง มีไร่ข้าวโพดประปราย แดดบ่ายร้อนจ้ารีดเหงื่อออกมาจนเสื้อเปียก พอเห็นกระท่อมเฝ้าไร่ข้าวข้างทางร้างคนจึงแวะพักหลบแดด ขึงเชือกตากผ้า แล้วขึ้นไปงีบหลับสักครึ่งชั่วโมง  แม้แดดจ้าแต่ลมก็พัดโกรกจนเย็นผิว

สภาพถนนสาย 2195 วิ่งเลียบน้ำเหือง เขต อ.ด่านซ้าย


บ่ายสามกว่าๆ มาถึงทางแยกตัดกับสาย 2114 ขวามือเข้าด่านซ้าย แวะกินก๋วยเตี๋ยวเอาแรงอีกชาม กินอิ่มก็ขึ้นอานปั่นไปเลาะไหล่ภูมาเรื่อยๆ ถนนช่วงนี้เป็นหลุมบ่อราวกับผิวดวงจันทร์ ถนนลาดยางคืนกลับเป็นถนนลูกรังอีกครั้ง รถยนต์แล่นผ่านทีฝุ่นคลุ้งเป็นหมอกขาว จนต้องหยุดรอให้ฝุ่นสงบค่อยปั่นต่อ ถนนสาย 2195 ลัดเลาแม่น้ำเหือง ที่ผมเองก็เพิ่งได้ยินชื่อเอาตอนนี้ แม่น้ำสายเล็กน่ารัก น้ำใสเห็นพื้นกรวด บางช่วงตื้นจนเดินข้ามได้ จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเส้นพรมแดนไทย-ลาว  ต้นกำเนิดอยู่บนเทือกเขาที่นาแห้วไหลเป็นเส้นพรมแดนประมาณ 110 กม. ก่อนจะไหลลงแม่น้ำโขงที่เชียงคาน

แม่น้ำเหือง


ห้าโมงกว่ามาถึงบ้านหนองปกติ แวะเข้าไปริมแม่น้ำเหือง น้ำใสน่าอาบมาก ชาวบ้านลงมาอาบน้ำซักผ้ากันหลายคน น้ำตื้นแค่ครึ่งแข้งพอให้ขับรถยนต์ลงไปล้างได้สบายๆ  แม่น้ำกว้างประมาณ 20 ม. เผลอขับไปอีกหน่อยก็ขึ้นฝั่งลาวได้เลย

ผูกเปลนอนที่ศาลาข้างป้อมตำรวจบ้าอาฮี (ภาพถ่ายเช้าวันรุ่งขึ้น)


ออกปั่นต่อสักพักเริ่มมืดต้องเปิดไฟหน้าหลัง ทุ่มกว่าๆ ก็มาถึงป้อมตำรวจบ้านอาฮี เห็นรถบรรทุกปูนซีเมนต์จอดอยู่สองสามคัน แวะเข้าไปขออนุญาตพักกับตำรวจ ได้ศาลาริมบ่อน้ำข้างๆ ป้อมเป็นที่พักคืนนี้ ผูกเปลแล้วไปอาบน้ำ กลับมาต้มมาม่ากับปลากระป๋อง อิ่มง่ายๆ ประสานักเดินทาง

ช่วงที่ปั่นแถวภาคเหนือเจอแต่แดดกับฝน ลมหนาวมาแจมบ้างเล็กน้อย แต่พอเริ่มเข้าอีสานได้สัมผัสความหนาวเต็มๆ ภาพจำของอีสานในใจผมคือร้อนแล้ง ดินแตกระแหง  ถ้าไม่ได้ปั่นจักรยานมาแถวนี้ก็คงไม่รู้ว่าอีสานนี่ก็หนาวไม่แพ้ทางเหนือเลย

การเดินทางช่วยทะลวงมายาคติที่ฝังแน่นในใจเรา  หรืออาจตอกย้ำความเชื่ออะไรบางอย่าง  เราไม่อาจคาดเดาได้ จนกว่าจะปั่นไปถึง

วันนี้ได้ระยะทาง 82.9 กม. เวลาปั่น 5.46 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 14.4 กม./ชม.  ความเร็วสูงสุด 63  กม./ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น