วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 4 วันที่ 10 (19/12/13) เขมราฐ-ผาแต้ม


เมืองเขมราฐยามเช้า ที่ถนนวิศิษฐ์ศรี


ตื่นเช้าเก็บของ คืนกุญแจแล้วออกปั่นไปหามื้อเช้าแถวตลาดเขมราฐ ปั่นเวียนรอบตลาดจนเจอร้านกาแฟ ได้กาแฟร้อนใส่นมข้นแกล้มแซนด์วิชบ้านๆ เสร็จแล้วแวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้างๆ มีไส้กรอกสีคล้ำ แม่ค้าบอก “ไส้กรอกเนื้อ” เพิ่งเคยเห็น ลองดูสักสองไม้ เก็บไว้เป็นสะเบียงระหว่างทาง

ออกมาจากตลาดก็ปั่นไปผ่านย่านตึกแถวเก่าๆ สุดถนนลาดยางลงถนนคอนกรีตเล็กๆ เลียบโขงผ่านหมู่บ้าน แวะถ่ายรูปยุ้งข้าวข้างทาง เท่าที่สังเกต ยุ้งข้าวอีสานตั้งแต่เลยมาถึงอุบลฯ ยังคงมีรูปทรงเรียบง่าย และขนาดกะทัดรัด เหมือนๆกัน

จักรยานทัวริงกะยุ้งข้าว ริมถนนวิศิษฐ์ศรี หน้าวัดโพธิ์ศรี
สิ่งหนึ่งที่ชอบมากๆ ในทริปนี้ก็คือยุ้งข้าว เวลาเห็นยุ้งข้าวแล้วรู้สึกอุ่นใจ สำหรับผม ยุ้งข้าวหมายถึงความมั่นคงทางอาหาร ตราบใดที่ยังมียุ้งข้าว ก็ต้องมีข้าวกิน  ยามปั่นจักรยานทัวริงยามที่แขวนกระเป่าคู่หน้า ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้พายุ้งข้าวมาด้วย เพราะข้างหนึ่งใส่อุปกรณ์ทำครัว อีกข้างใส่เสบียงอาหาร ส่วนคู่หลังใส่เครื่องนอน เปลสนาม และเสื้อผ้า จะว่าไปแล้วจักรยานทัวริงก็คือบ้านและยุ้งข้าวเคลื่อนที่ดีๆ นี่เอง  จักรยานคันหนึ่งมีปัจจัยสี่พร้อม คนปั่นพร้อมก็ถึงไหนถึงกัน

อาหารและน้ำไม่เคยพร่องกระเป๋านักปั่นทัวริง เหมือนชาวนาที่ไม่ปล่อยให้ยุ้งข้าวว่างเปล่า และเช่นเดียวกับคนเมืองที่จะไม่ยอมให้ตู้เย็นว่างโล่ง (เงินในบัญชีก็เช่นกัน)

เรือนไทยอีสาน เรือนแฝดหลังคาจั่วมุงสังกะสี  กั้นไม้ ใต้ถุนสูง ข้างวัดโพธิ์ศรี


แวะที่วัดโพธิ์ศรีริมโขง ถ่ายรูปศาลาไม้หลังเก่า แล้วเดินเลาะข้างวัด ไปชมเรือนไม้แบบอีสานใต้ถุนสูง แม่ใหญ่ใจดีเจ้าของบ้านกำลังนั่งถอนหญ้า อนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูป เรือนแฝดหลังคาจั่วมุงสังกะสี ฝากั้นไม้ ด้านหน้ามีระเบียง ใต้ถุนเก็บควายเหล็ก เครื่องไม้เครื่องมือ โองหลายใบ ไว้เก็บน้ำและหมักปลาร้า และมีแคร่ไว้นอนเล่น หลังข้างๆ กั้นไม้ไผ่ฝาขัดแตะ มีหน้าต่างเล็กๆ น่ารัก ด้านข้างๆ มียุ้งข้าวหลังย่อมๆ มุงสังกะสี ฝากั้นฟากไม้ไผ่แล้วยาดินเหนียวผสมขี้ควาบ ใต้ถุนเป็นที่เก็บฟืน บางหลังก็กั้นใต้ถุนเป็นเล้าไก่ แล้วแต่จะประยุกต์

นั่งพักที่ศาลาริมโขง กินหมูปิ้งข้าวเหนียว ต่อด้วยไส้กรอกเนื้อ ได้รสและกลิ่นสาบเนื้อชัดเจน เค็มๆ มันๆ อร่อยแปลกๆ ดี ถ้าได้เบียร์สักกระป๋องคงแจ๋วไปเลย ลมหนาวริมโขงพัดแรงจนต้องออกมาเดินตากแดด

ออกปั่นต่อไปออกถนนสายหลัก 2112 ถนนลาดยางสองเลนสภาพพอใช้ได้ เส้นกลางและเส้นขอบเลือนราง บางแห่งมีรอยปะ สองข้างทางเป็นป่าแห้งๆ บางช่วงมีเนินเล็กน้อย แวะที่วัดพระโต หรือวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ พระพุทธรูปปางมารวิชัยสูงกว่าสี่เมตร ศูนย์รวมความศรัทธาของบ้านทั้งสองฝั่งโขง มีชาวบ้านมานมัสการไม่ขาด ข้างๆ มีร้านไก่ย่างส้มตำหลายร้าน เดินชมสักพักแล้วแวะนั่งพักขากินน้ำ

ชาวบ้านตากมันเส้นริมไหล่ถนนสาย 2112


ออกจากวัดกลับทางเดิม ข้างไหล่ทางมีชาวบ้านตากมันเส้นเป็นแนวขาวยาว เพราะมันสดราคาไม่ดีก็เลยต้องทำมันเส้น หั่นเป็นแว่นๆ มาอาศัยตากแดดข้างถนน “ยอมเหนื่อย ตากแดดหน่อย แต่ราคาดีกว่ากัน...แล้วหนูปั่นจักรยานไม่เหนื่อยเหรอ” ก็เหนื่อยเหมือนกันแต่คงไม่เท่าป้า

แบ็คโฮกำลังทำแนวกั้นน้ำเซาะริมตลิ่งโขง ที่สามพันโบก

มาถึงสามพันโบกราวเที่ยงๆ มีรถสิบล้อกำลังขนดินมาเทให้แบ็คโฮทำแนวกั้นน้ำเซาะริมตลิ่ง กินส้มตำไก่ย่างแล้วแอบไปขึงเชือกตากผ้าที่ต้นไม้ริมตลิ่ง ล็อครถจักรยานแล้วเดินลงไปชมแก่งหินข้างล่าง

"โบก" ขนาดเล็กใหญ่หลากหลาย


สามพันโบกคือแก่งหินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหลุมแอ่งที่ถูกน้ำโขงกัดเซาะ ภาษาถิ่นเรียกว่า “โบก” ยามน้ำลดโบกเล็กใหญ่จะโผล่ให้เห็นกว่าสามพันแอ่ง บางช่วงมีแก่งหินเป็นแนว ดูไกลๆ คล้ายเพิงผา จนชาวบ้านขนานนามว่า “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย” ถ้าเดินเที่ยวชมแก่งหินจนเบื่อแล้ว อยากล่องน้ำโขงก็มีเรือนำเที่ยวให้บริการจากสามพันโบกไปหาดสลึง ระหว่างทางจะผ่าน “ปากบ้อง” คือจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำโขง กว้างเพียง 56 ม.

ลีลาต้นไม้ที่สามพันโบก


ต้นไม้เล็กๆ เกาะแก่งหินไหลลู่ตามน้ำ ที่สามพันโบก

แอ่งน้ำใหญ่น้อยที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นรูปร่างชวนจินตนาการ ว่าน่าอัศจรรย์แล้ว แต่ผมกลับหลงใหลต้นไม้เล็กๆ ที่เกาะอยู่ตามแก่งหิน รากยึดแน่นปล่อยให้ลำต้นเอนลู่ไปตามแรงน้ำ บางต้นกำลังแตกยอดสีม่วงๆ เล็กๆ ดูราวบอนไซตกกระถาง บางมุมก็ดูราวกับไม้ใหญ่โคนอวบแผ่นขยายกิ่งใบ บางต้นก็ราวกับไม้ใหญ่เอนลู่ลมอยู่ตามเชิงผา งามมากๆ คนชอบบอนไซอย่างผมเห็นแล้วอยากขุดไปเลี้ยงสักต้น

ราวบ่ายสามออกจากสามพันโบก ปั่นกลับมาตามถนนสายหลัก  ห้าโมงเย็นก็เข้าเขต อ.ศรีเมืองใหม่ ปั่นมาเรื่อยๆ จนเริ่มมืดต้องเปิดไฟหน้าหลัง ถนนสองเลนแคบๆ เพิ่งลาดยางใหม่ สองข้างทางเป็นป่าแห้งๆ ทุ่งนา และไร่สวน พอแหงนมองข้างบนก็เห็นดาวเต็มฟ้า ลองปิดไฟหน้าดู แสงดาวก็สว่างพอให้มองเห็นเส้นถนน ปั่นอยู่สักพักใหญ่ๆ เกือบครึ่งชั่วโมงไม่มีรถสวนมาเลยสักคัน

ได้ปั่นจักรยานท่ามกลางแสงดาว ได้กลิ่นดอกรังหอมอ่อนๆ แซมกลิ่นอุ่นๆ ของซังข้าวแห้งจากทุ่งนาข้างๆ นับเป็นประสบการณ์ไนท์ไรด์ที่วิเศษที่สุด

แคมป์กราวด์ที่ อช.ผาแต้ม (ภาพถ่ายเช้าวันรุ่งขึ้น)


มาถึงปากทางเข้า อช.ผาแต้มเกือบสองทุ่ม แวะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารข้างทาง ซื้อน้ำขนมตุนเสบียงไว้สำหรับมื้อเช้า แล้วปั่นเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จ่ายค่าธรรมเนียม ไปถึงจุดกางเต็นท์เกือบสามทุ่ม เดิมคิดไว้ว่าจะลองเช่าเต็นท์อุทยานสักคืน แต่พอเห็นค่าเช่าคืนละ 300 บ. ก็เลยเปลี่ยนใจ กางเองดีกว่า ราคาเต็นท์อุทยานนี่เกือบนอนรีสอร์ทได้เลย ที่ลานกางเต็นท์มีรถยนต์จอดอยู่สามสี่คัน นอนกันหมดแล้ว เหลือทีมหนึ่งกำลังกินเหล้าร้องเพลงเฮฮาอยู่ที่ริมป่าด้านบน ผมหลบมากางห่างๆ คนอื่นด้านล่าง กางเต็นท์หลบข้างต้นไม้ แล้วคลุมฟลายชีทกันลมมิดชิด อาบน้ำเย็นเจี้ยบๆ แล้วกลับมานอน

พรุ่งนี้ตั้งใจไว้ว่าจะนอนยาว ขอพักสักหน่อย ไม่รีบตื่นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้มเหมือนทีมอื่นๆ

วันนี้ได้ระยะทาง 120.4 กม. เวลาปั่น 6.51 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 17.6 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น