วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยกที่ 4 เชียงคาน-โขงเจียม วันที่ 1 (10/12/13) เชียงคาน-วัดป่าภูหลักหมื่น อ.สังคม

ถนนสาย 211 เลียบโขง แถวแก่งจันทร์


พักขาที่เชียงคานอยู่สี่ห้าวันจนเริ่มคุ้นเคยกับเมืองและผู้คนแล้ว เมื่อถึงเวลาออกเดินทางต่อ ใจมันรู้สึกโหวงๆ ยังไงก็ไม่รู้  ตื่นเช้าเก็บของแพ็ครถเสร็จก็บอกลารุ่นพี่ ปั่นไปหากาแฟโบราณกับไข่กระทะรองท้องที่หน้าตลาดสด ร้านนี้อยู่ห่างย่านท่องเที่ยว ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นชาวบ้าน ได้รสชาติและบรรยากาศแบบเดิมๆ ธรรมดาๆ  อิ่มอร่อยแล้วปั่นไปซื้อเสบียง อาหารกระป๋องตุนไว้ที่โลตัส เอ็กเพรส ด้านหน้าตกแต่งด้วยไม้เก่าๆ ให้ดูเข้ากับเมืองเก่า เซเว่นฯ ก็ตกแต่งแนววินเทจแบบนี้เหมือนกัน นี่อาจเป็นผลจากความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมของเมือง

แก่งคุดคู้ยามเช้า


เริ่มต้นเดินทางเกือบเก้าโมงเช้า ปั่นมาทางสาย 211 ถนนสายหลักเลียบโขงมาเรื่อยๆ ผิวลาดยางสภาพดี สองข้างทางเป็นหมู่บ้านสลับกับไร่นา เจอป้ายเลี้ยวซ้ายไปแก่งคุดคู้ ก็ปั่นตามไป แวะวัดท่าแขก จากนั้นก็ปั่นเลียบโขงมาเรื่อยๆ จนมาออกที่แก่งคุดคู้ แวะถ่ายรูปและเดินเล่นแถวแผงขายของที่ระลึก สินค้าส่วนใหญ่ก็เหมือนกับที่ถนนคนเดิน

ก๊วยเตี๋ยวน้ำตกที่นี่ต้องเติมกะปิสักนิดแล้วใส่ผักเยอะๆ

ซั่วด๊อกแด๊ก แซบอีหลีมากๆ

ปั่นออกถนนสายหลักอีกครั้ง ถนนเริ่มเป็นหลุมบ่อ ผ่านไร่นาสลับกับหมู่บ้านมาตลอดทาง ส่วนใหญ่เป็นทางราบมีขึ้นเนินบ้างเล็กน้อย  ตอนเที่ยงแวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง แม่ค้าใจดีพอเห็นนักปั่่นหิวโซกเข้ามา ก็รีบยกน้ำเย็นมาเสิร์ฟ สักพักก็ยกก๋วยเตี๋ยวน้ำตกชามใหญ่มาให้ พร้อมสารพัดผักแนม สดๆ ทั้งพริกเม็ดอวบ ถั่วฝักยาว ฝักชีฝรั่ง โหระพา และที่ขาดไม้ได้คือกระปุกกะปิ ก๋วยเตี๋ยวที่นี่ต้องใส่กระปิสักปลายช้อน เพิ่มความกลมกล่อม รสเด็ดมากๆ ต้องลอง ระหว่างนั้นเหลือบไปเห็นเมนู “ซั่วด๊องแด๊ง” ชื่อแปลกๆ มันคืออัลลัย จัดมาที่นึงโลด ถึงได้รู้ว่าเป็นอาหารประเภทส้มตำแต่ใช้เส้นลอดช่องสีขาวเนื้อเหนียวหนุบหนับแทนมะละกอ แซ่บอีหลีมวกส์ๆ

แปลงผักสวนครัวหน้าบ้าน


เที่ยวอีสานถูกใจที่สุดนอกจากบรรยากาศแล้วก็คืออาหาร โดยเฉพาะผัก ยิ่งผมเป็นนักนิยมผักพื้นบ้านด้วย มาเที่ยวอีสานได้กินผักอย่างสะใจ  เชื่อว่าปลอดภัยแน่ๆ เพราะปลูกอยู่ที่หน้าบ้านนี่เอง ปั่นเข้าหมู่บ้านไหน แทบทุกบ้านจะต้องปลูกผัก ไม่ยกแปลงเล็กๆ ก็ปลูกลงกะละมังเก่า ยางระยนต์ จนเห็นเป็นของสามัญประจำบ้านไปเลย

ตอนบ่ายเข้าเขต อ.ปากชม ปั่นมาทางสายหลักเลาะโขงมาเรื่อยๆ ถนนสภาพไม่ค่อยดี บางช่วงกำลังบดอัดเตรียมลาดยาง รถสะเทือนจนกระเป๋าคู่หลังหลุดจากแร็ค ต้องแวะซื้อสายยางมามัดอีกชั้น  ถนนสาย 211 ส่วนใหญ่เลียบโขง ปั่นวันแรกแรงยังดี อยากจะอัดเต็มที่ แต่ทิวทัศน์ริมโขงก็งามจนต้องชะลอ ปั่นชมวิวชิลๆ ไปเรื่อย ทิวทัศน์ที่ความเร็ว 20 กม./ชม. กำลังงามพอดีๆ  บางช่วงถนนตัดผ่านป่าหรือผ่านหมู่บ้าน พอเห็นทางย่อยซ้ายมือเข้าหมู่บ้าน เปิดแผนที่ดูแล้วปั่นเข้าไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านแล้วปั่นเลียบโขงมาตัดกับถนนสายหลักอีกครั้ง ชาวบ้านเห็นนักปั่นแปลกหน้าผ่านมาก็มองดูด้วยความประหลาดใจ ส่วนเด็กๆ ก็ทักทายกันอย่างสนุกสนาน

เกาะแก่งกลางน้ำโขง ที่หนองปลาบึก


มาถึงหนองปลาบึกราวห้าโมงเย็น กลางน้ำโขงเต็มไปด้วยแก่งหินลิบตา ด้านขวามือมีผืนน้ำโล่งๆ ล้อมรอบด้วยเกาะแก่งดูคล้ายบึงใหญ่กลางน้ำโขง อดีตเคยมีปลาบึกชุกชุม จึงเป็นที่มาของชื่อ “หนองปลาบึก” นอกจากเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชม “บั้งไฟพญานาค” ในคืนวันออกพรรษาทุกปี  วิวสวย ข้างๆ มีร้านกาแฟ เดินไปสำรวจห้องน้ำก็สะอาดดี บรรยากาศโดยรวมเหมาะแก่การตั้งแค็มป์มาก แต่หาต้นไม้เหมาะๆ จะผูกเปลไม่ได้ และไม่เจอที่ว่างพอจะกางเต็นท์ได้ ก็เลยตัดใจปั่นจากมา

ป้ายบอกระยะทางอีก 20 กม.จะถึง อ.สังคม ปั่นมาเรื่อยๆ จนเริ่มมืด แวะร้านค้าซื้อน้ำและเสบียง ชาวบ้านแนะนำให้พักที่วัดข้างหน้า “วัดป่าช้า คือเดิมเป็นป่าช้าเก่าน่ะ พระอาจารย์ท่านใจดี กลัวไหม” อ๋อไม่ครับ...แต่มีพระอยู่ใช่ไหมครับ ชาวบ้านบอกเป็นวัดป่าสายปฏิบัติ มีพระอยู่สี่ห้ารูป  เอาวะ คืนนี้ขอนอนวัดป่าแบบอีสานสักคืน ปั่นตามไปจนเจอป้ายวัดป่าภูหลักหมื่น ก็เลี้ยวขวาขึ้นเนินไปหน่อยก็ถึง

จอดรถไว้ที่ศาลาด้านล่างแล้วเดินขึ้นไปที่ ศาลาโรงธรรม เป็นเสาไม้ยกพื้นรูปทรงเรียบง่าย มุงไม้ไผ่ผ่าซีก วันนี้วันพระก็เลยมีชาวบ้านมารอทำวัตรเย็นอยู่หกเจ็ดคน พอเห็นผมเข้าไปก็ชวนสวดมนต์ด้วย แต่เผมเหนื่อยอยากพักผ่อนก็ปฎิเสธไป รอพบพระอาจารย์แล้วก็ขออนุญาตพักค้างคืน ได้ที่พักศาลาข้างล่าง

กลับมาเตรียมที่พัก เลือกเอามุมด้านหลังชิดกำแพงหลบลมหนาว กวาดพื้นนิดหน่อยแล้วปูเสื่อรองก่อนจะกางเต็นท์ทับ เสร็จแล้วติดเตาแก๊สหุงข้าวทิ้งไว้ เดินไปอาบน้ำกลับมาตากผ้า รอข้าวสุกก็คลุกน้ำพริกกับปลากระป๋อง อิ่มอร่อยสบายพุง  สักพักชาวบ้านทำวัตรเย็นเสร็จก็ทยอยขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน

คืนนี้ไม่ได้พักริมโขงอย่างที่ตั้งใจ ไม่ได้นอนฟังเสียงน้ำโขง แต่ก็รู้สึกว่าแม่น้ำอยู่ไม่ไกล  อากาศหนาวมาก จัดเต็มชุดนอนแล้วมุดเข้าเต็นท์ หัวถึงหมอน นอนหลับ สบาย

วันนี้ได้ระยะทาง 102 กม. เวลาปั่น 5.37 ชม. ความเร็วเฉลี่ย 18 กม./ชม. ความเร็วสูงสุด 45 กม./ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น